วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่ 14 ปริศนาลึกลับ 6 ประการเกี่ยวกับระบบสุริยะของเรา




กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กว่า 4.6 พันล้านปี มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ธรรมดาก่อกำเนิดขึ้นเกี่ยวกับแกแลกซีทางช้างเผือก ที่เราอาศัยอยู่นี้ เริ่มต้นจากการรวมตัวกันของวัตถุต่างๆ ที่กระจายตัวอยู่ระหว่างวงโคจรในแต่ละแกแลกซี ก๊าซไฮโดรเจน ฮีเลียมและผงฝุ่นที่มีอยู่โดยรอบเกิดการรวมตัวกันขึ้นเป็นโมเลกุล และไม่สามารถต้านต่อน้ำหนักของตัวเองได้ ทำให้กลุ่มหมอกโมเลกุลที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านี้ยุบตัวเอง ส่งผลให้เกิดความร้อนและความยุ่งเหยิงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดดาวฤกษ์ขึ้นใหม่ ซึ่งก็คือดวงอาทิตย์ของเรานี่เอง

ทั้งนี้เรายังไม่ทราบข้อเท็จจริงว่ากระบวนการนี้เริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร บางทีอาจจะเกิดจากคลื่นเสียงรุนแรงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงความกดดันและความหนาแน่นอย่างฉับพลันจากการระเบิดของดาวฤกษ์ข้างเคียงที่ตายแล้ว ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่นอกเหนือปกติที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นนับครั้งได้เลย ตั้งแต่ที่มีการกำเนิดของแกแลกซีทางช้างเผือกซึ่งเป็นเวลากว่า 13 พันล้านปีมาแล้ว จากการส่องด้วยกล้องโทรทรรศน์ เราสามารถสังเกตโดยรอบแกแลกซีทางช้างเผือกได้ มีดาวฤกษ์จำนวนมหาศาลล่องลอยอยู่ และดวงอาทิตย์ก็เป็นเพียงดาวฤกษ์ธรรมดานี่เอง

ไม่เพียงเท่านั้น อย่างที่รู้ๆ กันนั้น ในระบบสุริยะที่เราอาศัยอยู่ มีดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียว ในตอนที่มันถือกำเนิดขึ้นใหม่ๆ มันจะถูกล้อมรอบไปด้วยวัตถุ ที่เรียงตัวกันเป็นแผ่นกลมบางๆ ล้อมรอบมัน ซึ่งวัตถุเหล่านี้ได้พัฒนาตัวเองกลายเป็นดาวเคราะห์อีก 8 ดวง และถูกดึงดูดไว้ในวงโคจรล้อมรอบดวงอาทิตย์ มีดาว 1 ดวงในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหมดที่มีความสัมพันธ์อย่างแปลกประหลาดกับดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ดวงที่เหลือ ในที่สุดสรรพสิ่งต่างๆ ได้ถือกำเนิดขึ้นบนดาวดวงนี้ซึ่งเป็นที่น่าแปลกประหลาด เพราะดาวเคราะห์ดวงอื่นไม่พบปรากฏการณ์ดังกล่าว ซึ่งดาวดวงนี้ก็คือ โลก นั่นเอง


มีคำถามหลักเกิดขึ้น 6 ข้อ เกี่ยวกับระบบสุริยะที่เรายังหาคำตอบที่ถูกต้องชัดเจนไม่ได้

1.ระบบสุริยะกำเนิดขึ้นได้อย่างไร
เมื่อมองดูดาวเคราะห์ข้างเคียง คุณอาจจะลืมคิดไปว่าดาวเคราะห์ทั้งหลายอยู่ในตระกูลเดียวกัน ถ้าเปรียบเทียบแล้วอาจจะเป็นพี่น้องคนละสายเลือดมากว่าสายเลือดเดียวกัน

2. ทำไมเรามองเห็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ขนาดเท่ากัน
แท้จริงแล้วดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่กว่าดวงจันทร์ถึง 400 เท่า แต่ก็อยู่ห่างไกล
จากโลกออกไป 400 เท่าเมื่อเทียบกับดวงจันทร์ด้วย ทำให้ดาวทั้งสองดวงดู
แล้วมีขนาดพอๆ กันซึ่งถือเป็นเรื่องบังเอิญอย่างมาก

3. ดาวเคราะห์ x มีจริงหรือไม่
มีความเชื่อกันว่าในระบบสุริยะมีมุมมืดอยู่ซึ่งซ่อนดาวเคราะห์ x เอาไว้ ซึ่งเป็น
เรื่องราวที่ลือกันมานานแล้ว ซึ่งมันจะเป็นดาวที่เรามองไม่เห็น เป็นดาวที่เย็นตัว
ลงจนเป็นน้ำแข็ง คาดว่ามีขนาดใหญ่กว่าดาวอังคารหรือแม้แต่โลกของเราด้วย


4. ดาวหางมาจากไหน
การก่อกำเนิดของสิ่งต่างๆในจักรวาลนี้ ยังเป็นที่สงสัยของมนุษยชาติมาเป็นเวลากว่าพันๆ ปีแล้ว แต่ทฤษฎีทั้งหลายที่มีก็ยังอธิบายจุดกำเนิดของสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไม่ชัดเจนมากนัก


5. ในจักรวาลนี้มีระบบสุริยะเพียงหนึ่งเดียวหรือไม่
ตั้งแต่ปี 1992 มีการสำรวจพบวงโคจรของดาวเคราะห์ล้อมรอบดาวฤกษ์ระบบ
อื่นๆ นอกเหนือจากระบบสุริยะนี้ หลังจากนั้นมีการค้นพบอีกว่า 280 ระบบ แต่
ส่วนใหญ่ที่พบจะไม่คล้ายกับระบบสุริยะของเรามากสักเท่าไหร่

6. ระบบสุริยะจะพบจุดจบเช่นไร
ตั้งแต่เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงเกิดเป็นดาวเคราะห์ขึ้นมาครั้งแรกเมื่อ 100 ล้าน
ปีมาแล้ว ก็ไม่มีวัตถุแปลกใหม่เกิดขึ้นมากนัก แต่มีบางสิ่งที่อาจจะก่อให้เกิดการ
ทำลายล้างอย่างเงียบๆ เกิดขึ้นก็เป็นได้




















---------------------------------------------------------------------------------------------




อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/152043

สัปดาห์ที่ 13 ดื่มอะไร...แก้เมาค้าง...


..........เจาะข้อเท็จจริงเรื่องสูตรการแก้เมาค้าง อะไรที่ใช่ และอะไรที่ไม่ใช่
จัดงาน ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และดนตรี เพื่อการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ กับเพื่อนฝูงและครอบครัว แต่มีบางครั้งที่หลายท่านต้องปวดหัวกับอาการพิกลๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มึนศรีษะ ปากแห้ง เนื่องจากอาการ “เมาค้าง”
สูตรแก้เมาค้างที่เราได้ยินกันมา ทั้งการดื่มเครื่องดื่มให้พลังงาน กาแฟ วิตามิน น้ำมะพร้าว เครื่องดื่มรสเปรี้ยว วิตามินซี รับประทานยาแก้ปวด การออกกำลังกายการออกเหงื่อ ฯลฯ ได้ผลหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญ โปรเฟสเซอร์ Steve Allsop ให้คำแนะนำไว้ดังต่อไปนี้
อาการเมาค้างนั้นมีปัจจัยมาจากการเสียน้ำของร่างกาย (dehydration) และการอดนอน หลังจากการดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจาก ส่วนใหญ่แล้วกว่างานเลี้ยงจะเลิกราก็จะมักจะล่วงเลยไปกว่าเวลาพักผ่อนตามปกติ นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ก็ยังทำให้ความสามารถในการนอนหลับอย่างสนิทลดลง ไม่ต่างจากความสามารถในการขับขี่ เมื่อตื่นขึ้นมาเราจึงรู้สึกอ่อนเพลีย
เมื่อเราดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ตับทำหน้าที่ย่อยสลายสารที่อยู่ในแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอะซิตอลดีไฮด์ (acetaldehyde) ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้เรารู้สึกแย่หลังจากที่เราดื่มเข้าไปจำนวนมาก
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ไม่มีอะไรแก้เมาหรือเมาค้างได้ นอกจากเวลา ฉะนั้น ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ การป้องกัน ซึ่งได้ง่ายๆหลายวิธีด้วยกันคือ
• การดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์สลับกันกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือดื่มน้ำสักแก้วโตๆก่อนออกจากบ้าน และเมื่อกลับมาจากงานเลี้ยง นอกจากนี้ อีก 1 แก้วหลังจากตื่นนอน• ไม่ควรดื่มขณะท้องว่าง รับประทานอาหารร่วมกับการดื่มด้วย• จำกัดปริมาณเครื่องดื่ม
น้ำ นม เครื่องดื่มให้พลังงานให้พลังงาน หรือ เครื่องดื่มใดๆที่ไม่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีนนั้นช่วยบรรเทาอาการสูญเสียน้ำได้ไม่แตกต่างกัน เนื่องจากมันจะช่วยทดแทนระดับของสารประกอบเกลือ (electrolytes) ในร่างกายที่สูญเสียไปในขณะที่ร่างกายสูญเสียน้ำ
นอกจากนี้ ควรรับประทานอาหารในปริมาณน้อยๆ และไม่ควรเป็นของทอด หรือ ของที่มีรสมันเลี่ยน เพราะมันจะไปเพิ่มอาการอยากอาเจียนมากขึ้น และนอนพักผ่อนไม่ควรทำงานกับเครื่องจักรหรือขับขี่ยานพาหนะ

อ้างอิง
Steve Allsop. “Q: Will sports drinks cure your hangover?”. ABC Health. 10 December 2008. 30 December 2008. < http://www.abc.net.au/health/talkinghealth/factbuster/stories/2008/12/10/2442749.htm>.


-------------------------------------------------------------------


อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/151960

มะเร็ง มะกอกช่วยได้


ผิวมะกอกอาจเป็นยาต้านมะเร็งลำไส้ในอนาคต เนื่องจากสารประกอบไตรเตอพีนอยด์ (triterpenoid compound) ที่อยู่ในผิวมะกอกนั้นมีความสามารถในการป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในลำไส้ได้ นักวิจัยพบ
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแกรนนาด้า (Universidad de Granada) และมหาวิทยาลัยบาเซโลน่า (University of Barcelona) ได้เปิดเผยผลงานการวิจัยว่ากรดมาสลินิค (maslinic acid) ที่สกัดได้จากผิวของมะกอกนั้น มีความสามารถในการยับยั้งการเจริญเติบโต (เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว) ของเซลล์มะเร็งในลำไส้และทำให้เซลล์มะเร็งนั้นแตกตายไปเองได้
เมื่อใช้กากของผลมะกอกที่มีผิวเป็นมันมาสกัด นักวิจัยได้กรดมาสลินิค (maslinic acid) ซึ่งสารประกอบจำพวกไตรเตอพีนอยด์ (triterpenoid compound) ซึ่งเป็นสารประกอบที่พบในธรรมชาติและมีความสามารถในการลดเซลล์ HT29 ซึ่งเป็นเซลล์มะเร็งในลำไส้ผ่านทางเส้นทางของเซลล์ภายใน (intrinsic mitochondrial pathway) เช่น การลดการสร้างเซลล์ก่อมะเร็ง การซ่อมแซมดีเอ็นเอ (DNA repair) การชะงักการทำงานของวงจรชีวิตของเซลล์ (cell cycle arrest) มะเร็ง เป็นต้น
สารประกอบจำพวกไตรเตอพีนอยด์ (triterpenoid compound) นั้น สามารถพบได้ในพืชที่มีคุณสมบัติเป็นยาหลายชนิด แต่ในผิวมะกอกนั้นมีสารประกอบชนิดนี้อยู่มากถึง 80% ซึ่งจะเป็นสารสกัดที่มีราคาค่อนข้างต่ำ หากจะได้มีการนำเอาผลการค้นพบนี้ไปใช้ในการผลิตยาเพื่อรักษาโรคมะเร็งในลำไส้ หรือนำมาใช้ในการป้องกันก่อนการเกิดมะเร็งในลำไส้ในกลุ่มคนทั่วไป
อ้างอิง
Universidad de Granada. "Olive Skins Provide Natural Defense Against Colon Cancer, Study Suggests." ScienceDaily 10 January 2009. 11 January 2009 <http://www.sciencedaily.com/ /releases/2009/01/090108101621.htm>.




---------------------------------------------------------------------------------




สัปดาห์ที่ 12 การดื่มกาแฟช่วยลดอาการสมองและความจำเสื่อมได้


โดย Bill Hendrick

การดื่มกาแฟในระดับปานกลางระหว่างอายุในวัยกลางคนช่วยลดความเสี่ยงจากอาการผิดปกติและความจำเสื่อมเมื่ออายุสูงวัยขึ้นได้ นักวิจัยจากประเทศฟินแลนด์และสวีเดนได้ศึกษาจากผู้คนจำนวน 1,409 คนที่มีอายุในวัยกลางคนและมีการดื่มกาแฟเป็นกิจวัตร

สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 3-5 แก้วต่อวันในช่วงอายุในวัยกลางคนจะช่วยลดความเสี่ยงในจากอาการผิดปกติทางสมองหรือจิตเสื่อม รวมทั้งโรคความจำเสื่อมด้วย

Miia Kivipelto นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Kuopio, Finland และสถาบันวิจัย Karolinskaในกรุง Stockholm, Sweden ได้กล่าวว่า การบริโภคกาแฟในปริมาณมากจากทั่วโลก ส่งผลสำคัญต่อผู้ดื่มเนื่องจากช่วยชะลอจุดกำเนิดของอาการเจ็บป่วยดังกล่าวได้

งานวิจัยนี้จำเป็นที่จะต้องได้รับการยืนยันจากการศึกษาด้านอื่นๆ ด้วย แต่ก็ชี้ให้เห็นว่ามีแนวโน้มที่ดีเกี่ยวกับประโยชน์ทางด้านโภชนาการ ซึ่งลดอัตราการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับสมองได้ และอาจจะช่วยในการรักษาโรคเหล่านี้ได้ในอนาคตด้วย

ผู้เข้าร่วมการวิจัยจะมีจะมีช่วงอายุวัยกลางคน (ประมาณ 50 ปี)ในช่วงปี 1972, 1977, 1982 หรือปี 1987 และถูกสอบถามเกี่ยวกับปริมาณกาแฟที่ดื่มในแต่ละวัน ทั้งนี้ได้มีการแยกกลุ่มผู้เข้าวิจัยเป็น 3 กลุ่มได้แก่ กลุ่มแรก มีการบริโภคในระดับต่ำ (0-2 แก้วต่อวัน) คิดเป็น 15.9% กลุ่มที่สอง บริโภคในระดับปานกลาง (3-5 แก้วต่อวัน) คิดเป็น 45.6% และกลุ่มสุดท้าย บริโภคในระดับสูง (มากกว่า 5 แก้วต่อวัน) คิดเป็น 38.5%

หลังจากนั้นประมาณ 21 ปี ผู้คนประมาณ 1,409 คนจะมีอายุระหว่าง 65-79 ปีจะถูกตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง พบว่ามีจำนวน 61 คนที่ป่วยเป็นโรคเนื่องจากความผิดปกติของสมอง และอีก 48 คนเป็นโรคความจำเสื่อม ผลการวิจัยพบว่าคนที่บริโภคกาแฟในระดับปานกลางในช่วงวัยกลางคน จะมีความเสี่ยงลดลงจากผู้ที่ดื่มน้อยหรือไม่ดื่มกาแฟเลย

โดยผู้ที่ดื่มกาแฟในระดับปานกลางจะมีความเสี่ยงต่อโรคทางสมองลดลงประมาณ 65-70% และโรคความจำเสื่อมลดลง 62-64% เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ดื่มกาแฟน้อย

สำหรับผู้ที่บริโภคกาแฟมากๆ พบว่ามีตรวจพบปริมาณ cholesterol สูงมากจนอาจมีแนวโน้มเกี่ยวกับโรคหัวใจแทน แต่ผู้ที่บริโภคกาแฟน้อยหรือไม่บริโภคเลยจะมีความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมและความจำเสื่อมมากขึ้น

นอกจากนี้การดื่มชาก็ส่งผลเช่นเดียวกัน เนื่องจากสารคาเฟอีนในชาและกาแฟจะไปกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนกลาง ทั้งนี้โรคสมองและความจำเสื่อมจะเริ่มก่อตัวในร่างกายล่วงหน้าเป็น 10 ปีก่อนที่จะสามารถตรวจพบได้ทางการแพทย์

มีงานวิจัยก่อนหน้านี้พบว่าการดื่มกาแฟจะช่วยพัฒนาความสามารถในการรับรู้ได้และสารคาเฟอีนยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคพาร์กินสัน (โรคประสาทชนิดหนึ่งทำให้มีอาการสั่น) และโรคเบาหวานชนิด Type 2 ได้อีกด้วย ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนาสารต้านอนุมูลอิสระจากกาแฟเพื่อฉีดเข้าไปในกระแสเลือดเพื่อรักษาโรคเบาหวานด้วย


ที่มา:
http://www.webmd.com/alzheimers/news/20090116/coffee-strong-enough-to-ward-off-dementia


---------------------------------------------------------------------------------


อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/152009

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่ 11 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ Visual Basic (VB)

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ Visual Basic (VB)

โปรแกรม Visual Basic (VB) เป็นโปรแกรมสำหรับพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ที่กำลังเป็นที่ นิยมใช้อยู่ในปัจจุบัน โปรแกรม Visual Basic เป็นโปรแกรมที่ได้เปลี่ยนรูปแบบการเขียนโปรแกรมใหม่ โดยมีชุดคำสั่งมาสนับสนุนการทำงาน มีเครื่องมือต่าง ๆ ที่เรียกกันว่า คอนโทรล(Controls) ไว้สำหรับช่วยในการออกแบบโปรแกรม โดยเน้นการออกแบบหน้าจอแบบกราฟฟิก หรือที่เรียกว่า Graphic User Interface (GUI) ทำให้การจัดรูปแบบหน้าจอเป็นไปได้ง่าย และในการเขียนโปรแกรมนั้นจะเขียนแบบ Event - Driven Programming คือ โปรแกรมจะทำงานก็ต่อเมื่อเหตุการณ์ (Event) เกิดขึ้น ตัวอย่างของเหตุการณ์ได้แก่ ผู้ใช้เลื่อนเมาส์ ผู้ใช้กดปุ่มบนคีย์บอร์ด ผู้ใช้กดปุ่มเมาส์ เป็นต้น
เครื่องมือ หรือ คอนโทรล ต่าง ๆ ที่ Visual Basic ได้เตรียมไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็น Form TextBox Label ฯลฯ ถือว่าเป็นวัตถุ (Object ในที่นี้ขอใช้คำว่า ออบเจ็กต์) นั่นหมายความว่า ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือใด ๆ ใน Visual Basic จะเป็นออบเจ็กต์ทั้งสิ้น สามารถที่จะควบคุมการทำงาน แก้ไขคุณสมบัติของออบเจ็กต์นั้นได้โดยตรง ในทุกๆ ออบเจ็กต์จะมีคุณสมบัติ (properties) และเมธอด (Methods) ประจำตัว ซึ่งในแต่ละออบเจ็กต์ อาจจะมีคุณสมบัติและเมธอดที่เหมือน หรือต่างกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของออบเจ็กต
ในการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ด้วย Visual Basic การเขียนโค้ดจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ เรียกว่า โพรซีเดอร์ (procedure) แต่ละโพรซีเดอร์จะประกอบไปด้วย ชุดคำสั่งที่พิมพ์เข้าไปแล้ว ทำให้คอนโทรลหรือออบเจ็กต์นั้น ๆ ตอบสนองการกระทำของผู้ใช้ ซึ่งเรียกว่าการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object Oriented Programming-OOP) แต่ตัวภาษา Visual Basic ยังไม่ถือว่าเป็นการเขียนโปรแกรมแบบ OOP อย่างแท้จริง เนื่องจากข้อจำกัดหลายๆ อย่างที่ Visual Basic ไม่สามารถทำได้


เข้าสู่โปรแกรม Visual Basic
เมื่อเข้าสู่โปรแกรม Visual Basic จะแสดงกรอบโต้ตอบสำหรับเลือกชนิดของโปรแกรมประยุกต์ ที่ต้องการ


เมื่อเลือกชนิดของโปรแกรมประยุกต์เป็นแบบ Standard EXE จะเข้าสู่หน้าต่างของ Visual Basic

ในแต่ละส่วนของ Visual Basic จะมีหน้าที่แตกต่างกันไป ซึ่งในระหว่างการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ จะต้องใช้ส่วนต่าง ๆ เหล่านี้ ในการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์
ทูลบาร์ (Toolbars)
เป็นแถบสัญลักษณ์ที่ใช้สำหรับเข้าถึงชุดคำสั่งของ Visual Basic ได้ทันที โดยจะนำคำสั่งที่ถูกใช้งานบ่อย ๆ มาแสดง

ทูลบาร์สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. Standard Toolbars เป็นทูลบาร์มาตรฐานประกอบด้วยคำสั่งที่เกี่ยวกับการจัดการ Project
2. Edit Toolbars เป็นทูลบาร์ที่ประกอบไปด้วยคำสั่งที่ใช้สำหรับช่วยในการเขียนโค้ดใน code editor
3. Debug Toolbars เป็นทูลบาร์ที่ประกอบไปด้วยคำสั่งที่ใช้สำหรับตรวจสอบการทำงานการประมวลผลโปรแกรม
4. Form Editor Toolbars เป็นทูลบาร์ที่ประกอบไปด้วยคำสั่งที่ใช้สำหรับช่วยในการปรับขนาด, ย้าย, เปลี่ยนตำแหน่งคอนโทรลต่าง ๆ ที่อยู่บนฟอร์ม
Toolboxs
คือแถบสัญลักษณ์ Controls ต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ แบ่ง เป็น 2 กลุ่ม คือ

1. คอนโทรลภายใน (Intrinsic controls) เป็นชุดคอนโทรลมาตรฐานของ Visual Basic ทุก ๆ ครั้งที่มีการเรียกใช้ Form เพื่อสร้างโปรแกรมประยุกต์ คอลโทรลชุดนี้จะถูกเรียกขึ้นมาอัตโนมัติ สามารถเลือกใช้งานคอลโทรลกลุ่มนี้ได้ทันที
2. คอนโทรล ActiveX (ActiveX controls) เป็นชุดคอนโทรลเพิ่มเติมที่ไมโครซอฟท์จัดเตรียมไว้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ การเพิ่มคอนโทรลกลุ่มนี้เข้ามาในทูลบ๊อกซ์ทำโดยเลือกเมนู Project/Components (หรือคลิ๊กขวาตรงแถบทูลบ๊อกซ์เลือกคำสั่ง
Form Designer
เป็นส่วนที่ใช้ออกแบบการแสดงผลส่วนที่ใช้ติดต่อกับผู้ใช้ ฟอร์มเป็นออบเจ็กต์แรกที่ถูกเตรียมไว้ให้ใช้งาน คอลโทรลทุกตัวที่ต้องการใช้งานจะต้องนำไปบรรจุไว้ในฟอร์ม นำคอลโทรลมาประกอบกันขึ้นเป็นโปรแกรมประยุกต์ ทุกครั้งที่เปิด Visual Basic ขึ้นมา หรือ สร้าง Project ใหม่จะมีฟอร์มว่าง 1 ฟอร์มถูกสร้างเตรียมไว้เสมอ
Project Explorer
Project Explorer ใช้สำหรับบริหารและจัดการโปรเจ็กซ์ โดยจะแสดงองค์ประกอบของแต่ละโปรเจ็กต์แบบโครงร่างต้นไม้ (tree-view)ตัวโปรเจ็กตจะหมายถึงโปรแกรมประยุกต์ซึ่งจะอยู่ส่วนบนสุด ถัดมา จะแสดงส่วนประกอบต่าง ๆ ของโปรเจ็กต์นั้น ๆ ว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง เช่น ฟอร์มโมดูล รายงาน เป็นต้น ถ้ามี 2 โปรเจ็กต์ขึ้นไป ก็จะแสดงแยกออกเป็นส่วนต่างหากอีกโปรเจ็กต์ ถ้าต้องการใช้งานส่วนใด ของโปรเจ็กต์ไหนก็สามารถคลิ๊กเลือกได้ทันที
Project Explorer แบบโปรเจ็กต์เดียว และ แบบหลายโปรเจ็กต์
ส่วนประกอบของโปรเจ็กต์
Project(n)
คือโปรแกรมประยุกต์ที่พัฒนาอยู่ มีนามสกุล .vbp
Form(n) .frm
เป็นฟอร์มที่มีอยู่ในโปรเจ็กต์นั้น ๆ ใน 1 โปรเจ็กต์อาจมีมากกว่า 1 ฟอร์มก็ได้ มีนามสกุล
Modules
เป็นที่เก็บชุดคำสั่งที่คุณเขียนขึ้นมา โดยจะเก็บชุดคำสั่งที่ใช้บ่อย ๆมีนามสกุล .bas
Class Modules
เป็นโมดูลชนิดพิเศษที่มีลักษณะเป็นอ๊อบเจ็กต์ ที่สามารถสร้างขึ้นมาได้ จะมีนามสกุล .cls
User controls
เป็นส่วนที่เก็บคอนโทรล ActiveX ที่คุณสร้างขึ้นมา มีนามสกุล .ctl
Designers
เป็นส่วนของรายงานที่ถูกสร้างขึ้นมีนามสกุลเป็น .dsr
Properties Window
หน้าต่างคุณสมบัติเป็นส่วนที่ใช้กำหนดคุณสมบัติของออบเจ็กต์ที่ถูกเลือก (adtive) หรือได้รับความสนใจ (focus) อยู่ขณะนั้น ซึ่งสามารถที่จะปรับเปลี่ยนค่าต่าง ๆ ของคอลโทรลเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและตรงกับความต้องการใช้งานได้ทันที


ในหน้าต่างคุณสมบัติ จะประกอบไปด้วยแท็ป 2 แท็ป คือ
1. แท็ป Alphabetic เป็นแท็ปที่แสดงรายการคุณสมบัติ เรียงตามตัวอักษรในภาษาอังกฤษ
2. แท็ป Categorized เป็นแท็ปที่แสดงรายการคุณสมบัติ โดยการจัดกลุ่มของคุณสมบัติที่มีหน้าที่คล้ายกัน หรือมีความสัมพันธ์กัน
หน้าต่าง Form Layout
เป็นส่วนที่แสดงให้เห็นตำแหน่งของฟอร์ม และสามารถกำหนดตำแหน่งของฟอร์ม ที่ปรากฎบนจอภาพในขณะประมวลผลได้ โดยการเคลื่อนย้ายฟอร์มจำลอง ที่อยู่ในจอภาพจำลองด้วยการ drag เมาส์ ไปยังตำแหน่งทีคุณต้องการ โดยจะมีผลในขณะประมวลผลเท่านั้น


Immediate Window
เป็นหน้าต่างที่ให้ประโยชน์ ในกรณีทีคุณต้องการทราบผล การประมวลผลโดยทันที เช่น การทดสอบโปรแกรมย่อยต่าง ๆ เป็นต้น เมื่อคุณสั่งประมวลผลโปรเจ็กต์ หน้าต่างนี้จะปรากฎขึ้นโดยอัตโนมัติ

หน้าต่าง New Project
หน้าต่าง New Project จะปรากฎขึ้นมาเมื่อเลือกเมนู File/New Project กรอบโต้ตอบนี้ จะแสดงชนิดของโปรแกรมประยุกต์ ที่คุณต้องการพัฒนา ซึ่งจะคล้ายกับตอนที่เปิดโปรแกรม Visual Basic ขึ้นมาครั้งแรก

หน้าต่าง Code Editor
เป็นส่วนที่ใช้ในการเขียนชุดคำสั่งสำหรับการประมวลผล และควบคุมการทำงานของคอลโทรล ต่าง ๆ


-----------------------------------------------------------------------------------

อ้างอิงจาก http://www.lks.ac.th/kuanjit/vb01.htm

สัปดาห์ที่ 10 วิทยาศาสตร์คอนเฟิร์ม...ดวงดูที่ความยาวนิ้ว


แม้จะดูไม่ค่อยสัมพันธ์กัน แต่นักวิทยาศาสตร์กลับเผยว่า นักธุรกิจที่ล้มเหลวมักจะมี “นิ้วนาง สั้นกว่า นิ้วชี้”


ภาพ: ทุกอย่างอยู่ที่นิ้ว ผลสำเร็จทางธุรกิจขึ้นกับความยาวนิ้ว
Credit: J. Coates et al., PNAS 106 (13 January 2009)


งานวิจัยก่อนหน้านี้รายงานว่าอัตราส่วนความยาว นิ้วชี้ต่อนิ้วนาง ประมาณ 2:4 จัดว่าเป็นอัตราส่วนที่เหมาะเหม็ง บอกถึงระดับฮอร์โมนเทสทอสเทอโรนที่ร่างกายได้รับขณะเป็นตัวอ่อน หากระดับเทสทอสเทอโรนสูงจะส่งผลให้นิ้วนางของเรายาวขึ้นยาวขึ้นจนได้อัตราส่วนระหว่างนิ้วชี้และนิ้วนางเป็น 2:4 นี่ล่ะครับ
การได้รับฮอร์โมนในขณะที่เป็นตัวอ่อนสูงนี้จะส่งผลให้ร่างกายไวต่อฮอร์โมนมากขึ้นเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นจึงพบว่าใครที่มีเทสทอสเทอโรนตอนเป็นตัวอ่อนสูงจะไวต่อฮอร์โมนนี้เมื่อเป็นผู้ใหญ่ สามารถโต้ตอบได้เร็วและเผชิญกับปัญหาได้ดีกว่า
คุณลักษณะทั้งสองประการนี้ล้วนจำเป็นต่อนักธุรกิจผู้เห็นเวลาทุกนาทีเป็นเงินเป็นทอง ทำเอาอดีตนักธุรกิจวอลล์สตรีทและนักวิทยาศาสตร์ด้านการรับรู้ของสมอง จอห์น โคทส์ ถึงกับเป็นงง…
เพิ่งจะปีที่แล้วนี้เองครับที่โคทส์รายงานว่า นักธุรกิจที่มีระดับเทสทอสเทอโรนสูงในตอนเช้าจะทำเงินได้ดีกว่านักธุรกิจที่ไม่มีคุณสมบัติข้อนี้ แถมยังพบว่า ชายที่มีอัตราส่วนความยาวนิ้วชี้ต่อนิ้วนางต่ำจะมีความสามารถในด้านกีฬาเหนือกว่าชายที่มีอัตราส่วนสูงกว่าอีกด้วย
โคทส์จึงแอบกล่าวเล่น ๆ ว่า มีโครงการจะนำลายพิมพ์นิ้วมือของนักธุรกิจ 44 คนที่เค้ากำลังศึกษาอยู่มาเปรียบเทียบกัน โดยนักธุรกิจทั้งหมดนี้ล้วนเป็นนักธุรกิจชั้นแนวหน้าของลอนดอนครับ
งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ใน รายงานความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ฉบับวันที่ 13 มกราคม โดยรายงานว่านักธุรกิจที่มีอัตราส่วนระหว่างนิ้วชี้ต่อนิ้วนางต่ำหรือก็คือผู้ที่ได้รับออร์โมนเทสทอสเทอโรนช่วงอยู่ในครรภ์สูง จะได้รับผลกำไรมากสุดในช่วงให้หลัง 20 เดือนไม่มากนัก คิดเป็นเงินประมาณ 1,232,590 ดอลลาร์ หรือประมาณเกือบ 6 เท่าของชายที่มีอัตราส่วนความยาวนิ้วสูงกว่า
ทิมม์ ฮาร์ฟอร์ด คอลัมนิสประจำไฟแนนเชียลไทม์ และผู้เขียนบทความเรื่อง ปรัชญาแห่งชีวิต(The Logic of Life: The Rational Economics of an Irrational World) กล่าวว่ารายงานนี้น่าสนใจอย่างยิ่ง ทำให้ตนได้เห็นว่าการคัดเลือกตามธรรมชาติมิได้เกิดแค่ในสิ่งมีชีวิตเท่านั้น (เป็นการคัดเลือกที่ทำให้สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเหมาะสมกว่าอยู่รอด) แต่ยังเกิดขึ้นในตลาดการค้าอีกด้วยเพราะก่อนหน้านี้ฮาร์ฟอร์ดมองธุรกิจตามหลักแห่งเหตุและผล ใครคิดดีกว่าย่อมได้เปรียบ
อย่างไรก็ตาม โคทส์เน้นว่า การศึกษานี้อ้างอิงข้อมูลจากธุรกิจชนิดเดียว หากเป็นธุรกิจที่ต้องใช้ระยะเวลานานคุณลักษณะที่กล่าวถึงนี้อาจกลายเป็นผลเสียได้ เช่น ธุรกิจการลงทุนที่ต้องวางเงินเดิมพัน ธุรกิจการลงทุนธนาคาร ธุรกิจแต่ละประ เภทล้วนต้องใช้คุณสมบัติแตกต่างกัน...

ที่มา : http://sciencenow.sciencemag.org/cgi/content/full/2009/112/1
อ้างอิง : http://en.wikipedia.org/wiki/Testosterone



-------------------------------------------------------------------------------------------



อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/152003

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่ 9 สารระเหยจากกัญชารักษาโรค


จากการศึกษาพบถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพของสารระเหยของกัญชา

จากการศึกษาพบว่า การทำให้สารระเหยจากใบกัญชาแทนที่การเผามัน จะช่วยให้สารออกฤทธิ์ของกัญชาเกิดประสิทธิภาพได้ โดยการหลีกเลี่ยงอันตรายจากสารพิษที่เกิดจากการสูดดมควันของมัน

ผลการศึกษาอาจเป็นข่าวดีสำหรับคนที่ใช้กัญชาในทางการแพทย์

ผลประโยชน์ที่สำคัญของกัญชารวมถึงการบรรเทาอาการเจ็บปวดจากหลายๆ โรค ใช้รักษาโรคต้อหิน ใช้กระตุ้นความอยากอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเอดส์ และใช้เป็นยาแก้อาเจียนสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัด แต่การสูบกัญชาไม่ใช่วิธีที่ดีของการให้ยานี้เพราะว่ามีผลเสียที่อันตราย เช่นโรคมะเร็งปอดและโรคหัวใจนอกจากการสูบแล้ว บางคนยังใช้ใบกัญชามาใช้ในการทำเป็นชาหรือใส่ในเค้กเพื่อการบริโภค แต่นั่นหมายความว่าสารสำคัญของมันจะถูกเมตาบอไลท์โดยตับมากกว่าที่จะผ่านเข้าไปในกระแสเลือดโดยตรงโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง วิธีการอื่นๆ ได้เน้นไปที่การสกัดส่วนประกอบสำคัญเช่น tetrahydrocannabinol หรือ THC และให้โดยตรงโดยทำให้อยู่ในรูปของยาเม็ดหรือสเปรย์ฉีดพ่นเข้าทางปาก อย่างไรก็ตามหลายฝ่ายคิดว่าการสกัดแยกเอาส่วนประกอบออกมาจะไม่มีฤทธิ์ในทางรักษาได้เท่ากับการใช้พืชทั้งต้นและมันก็เป็นการยากที่จะกำหนดปริมาณยาที่เหมาะสมกับแต่ละคนได้ด้วยการให้กินยาเม็ดDonald Abrams

จาก University of California ซานฟรานซิสโก และทีมของเขาได้ตัดสินใจที่จะทำการศึกษาผลดีของเครื่อง 'Volcano' ที่ใช้ทำให้สารระเหยเป็นไอ ที่มีใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ เครื่องมือนี้จะทำการให้ความร้อนใบกัญชาที่อุณหภูมิระหว่าง 180-200 องศาเซลเซียส ดังนั้นสาร THC จึงระเหยออกจากน้ำมันบนพื้นผิวของใบที่ยังไม่เกิดกระบวนการเผาใหม่การศึกษาก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นถึงอันตรายของสารพิษที่ถูกปล่อยออกมาขณะที่มีการสูบกัญชา เช่น ก๊าซคาร์บอนมอนอ๊อกไซม์ (carbon monoxide), เบนซีน (benzene) และสารที่เป็นต้นกำเนิดของสารพวก polycyclic aromatic hydrocarbons หรือที่เรียกว่าสารก่อมะเร็ง (carcinogens) สารเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าใช้เครื่องมือดังกล่าวนี้ การศึกษาของ Abrams ได้ทำการเปรียบเทียบผลของการสูบและการใช้ไอระเหยจากกัญชาในคน เป็นครั้งแรก เขากล่าวว่าเขาสามารถให้สารที่เทียบเท่ากับ THC เข้าสู่กระแสเลือดได้
ความแตกต่างหลักๆ ระหว่างวิธีการให้สาร 2 วิธี
คือ สาร THC ดูเหมือนว่าจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเร็วการการใช้เครื่อง vaporizer และได้มีการเปรียบเทียบผลทางเภสัชวิทยาและสรีระวิทยา ถึงแม้ว่ายังต้องการการศึกษาที่มากกว่านี้เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าทั้งสองวิธีนี้ให้ผลทางชีววิทยาที่เท่ากันการศึกษาแรกที่เน้นศึกษาถึงข้อดีของการใช้เครื่อง vaporizer กับกัญชาได้มีการตีพิมพ์มากว่า 5 ปีแล้ว แต่ความก้าวหน้าของงานวิจัยเป็นไปอย่างเชื่องช้า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่ามีแหล่งวิจัยเพียงแหล่งเดียวที่ได้รับอนุญาตให้ใช้กัญชาในสหรัฐอเมริกา คือสถาบัน the National Institute on Drug Abuse (NIDA) การวินิจฉัยทางกฎหมายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์นี้แนะว่าสั่งให้ US Drug Enforcement Administration (DEA) และ NIDA มีเอกสิทธิ์เพียงผู้เดียวทางกฎหมายในการผลิตกัญชาสำหรับใช้ในงานวิจัยLaura Bell จาก Multiple Sclerosis Society ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า ในสมาคมของเธอได้สนับสนุนการวิจัยเรื่อง cannabinoid ในคนเกี่ยวกับโรค multiple sclerosis การสูบกัญชามีผลทำให้ได้รับสารเคมีที่เป็นพิษหลายตัว และยินดีที่จะรับงานวิจัยที่มีวิธีที่ดีกว่า ปลอดภัยกว่าในการได้รับสารดังกล่าวใบกัญชาไม่ได้เป็นสารเดียวที่เหมาะสำหรับทำให้ระเหยโดย vaporizer พืชสมุนไพรตัวอื่นเช่น ยูคาลิปตัส และคาโมไมล์ก็สามารถใช้ได้ หรือพืชอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติทางการแพทย์ของสารระเหยที่มีอยู่ในใบของมัน


----------------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/94913