วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่ 14 ปริศนาลึกลับ 6 ประการเกี่ยวกับระบบสุริยะของเรา




กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กว่า 4.6 พันล้านปี มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ธรรมดาก่อกำเนิดขึ้นเกี่ยวกับแกแลกซีทางช้างเผือก ที่เราอาศัยอยู่นี้ เริ่มต้นจากการรวมตัวกันของวัตถุต่างๆ ที่กระจายตัวอยู่ระหว่างวงโคจรในแต่ละแกแลกซี ก๊าซไฮโดรเจน ฮีเลียมและผงฝุ่นที่มีอยู่โดยรอบเกิดการรวมตัวกันขึ้นเป็นโมเลกุล และไม่สามารถต้านต่อน้ำหนักของตัวเองได้ ทำให้กลุ่มหมอกโมเลกุลที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านี้ยุบตัวเอง ส่งผลให้เกิดความร้อนและความยุ่งเหยิงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดดาวฤกษ์ขึ้นใหม่ ซึ่งก็คือดวงอาทิตย์ของเรานี่เอง

ทั้งนี้เรายังไม่ทราบข้อเท็จจริงว่ากระบวนการนี้เริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร บางทีอาจจะเกิดจากคลื่นเสียงรุนแรงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงความกดดันและความหนาแน่นอย่างฉับพลันจากการระเบิดของดาวฤกษ์ข้างเคียงที่ตายแล้ว ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่นอกเหนือปกติที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นนับครั้งได้เลย ตั้งแต่ที่มีการกำเนิดของแกแลกซีทางช้างเผือกซึ่งเป็นเวลากว่า 13 พันล้านปีมาแล้ว จากการส่องด้วยกล้องโทรทรรศน์ เราสามารถสังเกตโดยรอบแกแลกซีทางช้างเผือกได้ มีดาวฤกษ์จำนวนมหาศาลล่องลอยอยู่ และดวงอาทิตย์ก็เป็นเพียงดาวฤกษ์ธรรมดานี่เอง

ไม่เพียงเท่านั้น อย่างที่รู้ๆ กันนั้น ในระบบสุริยะที่เราอาศัยอยู่ มีดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียว ในตอนที่มันถือกำเนิดขึ้นใหม่ๆ มันจะถูกล้อมรอบไปด้วยวัตถุ ที่เรียงตัวกันเป็นแผ่นกลมบางๆ ล้อมรอบมัน ซึ่งวัตถุเหล่านี้ได้พัฒนาตัวเองกลายเป็นดาวเคราะห์อีก 8 ดวง และถูกดึงดูดไว้ในวงโคจรล้อมรอบดวงอาทิตย์ มีดาว 1 ดวงในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหมดที่มีความสัมพันธ์อย่างแปลกประหลาดกับดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ดวงที่เหลือ ในที่สุดสรรพสิ่งต่างๆ ได้ถือกำเนิดขึ้นบนดาวดวงนี้ซึ่งเป็นที่น่าแปลกประหลาด เพราะดาวเคราะห์ดวงอื่นไม่พบปรากฏการณ์ดังกล่าว ซึ่งดาวดวงนี้ก็คือ โลก นั่นเอง


มีคำถามหลักเกิดขึ้น 6 ข้อ เกี่ยวกับระบบสุริยะที่เรายังหาคำตอบที่ถูกต้องชัดเจนไม่ได้

1.ระบบสุริยะกำเนิดขึ้นได้อย่างไร
เมื่อมองดูดาวเคราะห์ข้างเคียง คุณอาจจะลืมคิดไปว่าดาวเคราะห์ทั้งหลายอยู่ในตระกูลเดียวกัน ถ้าเปรียบเทียบแล้วอาจจะเป็นพี่น้องคนละสายเลือดมากว่าสายเลือดเดียวกัน

2. ทำไมเรามองเห็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ขนาดเท่ากัน
แท้จริงแล้วดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่กว่าดวงจันทร์ถึง 400 เท่า แต่ก็อยู่ห่างไกล
จากโลกออกไป 400 เท่าเมื่อเทียบกับดวงจันทร์ด้วย ทำให้ดาวทั้งสองดวงดู
แล้วมีขนาดพอๆ กันซึ่งถือเป็นเรื่องบังเอิญอย่างมาก

3. ดาวเคราะห์ x มีจริงหรือไม่
มีความเชื่อกันว่าในระบบสุริยะมีมุมมืดอยู่ซึ่งซ่อนดาวเคราะห์ x เอาไว้ ซึ่งเป็น
เรื่องราวที่ลือกันมานานแล้ว ซึ่งมันจะเป็นดาวที่เรามองไม่เห็น เป็นดาวที่เย็นตัว
ลงจนเป็นน้ำแข็ง คาดว่ามีขนาดใหญ่กว่าดาวอังคารหรือแม้แต่โลกของเราด้วย


4. ดาวหางมาจากไหน
การก่อกำเนิดของสิ่งต่างๆในจักรวาลนี้ ยังเป็นที่สงสัยของมนุษยชาติมาเป็นเวลากว่าพันๆ ปีแล้ว แต่ทฤษฎีทั้งหลายที่มีก็ยังอธิบายจุดกำเนิดของสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไม่ชัดเจนมากนัก


5. ในจักรวาลนี้มีระบบสุริยะเพียงหนึ่งเดียวหรือไม่
ตั้งแต่ปี 1992 มีการสำรวจพบวงโคจรของดาวเคราะห์ล้อมรอบดาวฤกษ์ระบบ
อื่นๆ นอกเหนือจากระบบสุริยะนี้ หลังจากนั้นมีการค้นพบอีกว่า 280 ระบบ แต่
ส่วนใหญ่ที่พบจะไม่คล้ายกับระบบสุริยะของเรามากสักเท่าไหร่

6. ระบบสุริยะจะพบจุดจบเช่นไร
ตั้งแต่เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงเกิดเป็นดาวเคราะห์ขึ้นมาครั้งแรกเมื่อ 100 ล้าน
ปีมาแล้ว ก็ไม่มีวัตถุแปลกใหม่เกิดขึ้นมากนัก แต่มีบางสิ่งที่อาจจะก่อให้เกิดการ
ทำลายล้างอย่างเงียบๆ เกิดขึ้นก็เป็นได้




















---------------------------------------------------------------------------------------------




อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/152043

สัปดาห์ที่ 13 ดื่มอะไร...แก้เมาค้าง...


..........เจาะข้อเท็จจริงเรื่องสูตรการแก้เมาค้าง อะไรที่ใช่ และอะไรที่ไม่ใช่
จัดงาน ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และดนตรี เพื่อการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ กับเพื่อนฝูงและครอบครัว แต่มีบางครั้งที่หลายท่านต้องปวดหัวกับอาการพิกลๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มึนศรีษะ ปากแห้ง เนื่องจากอาการ “เมาค้าง”
สูตรแก้เมาค้างที่เราได้ยินกันมา ทั้งการดื่มเครื่องดื่มให้พลังงาน กาแฟ วิตามิน น้ำมะพร้าว เครื่องดื่มรสเปรี้ยว วิตามินซี รับประทานยาแก้ปวด การออกกำลังกายการออกเหงื่อ ฯลฯ ได้ผลหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญ โปรเฟสเซอร์ Steve Allsop ให้คำแนะนำไว้ดังต่อไปนี้
อาการเมาค้างนั้นมีปัจจัยมาจากการเสียน้ำของร่างกาย (dehydration) และการอดนอน หลังจากการดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจาก ส่วนใหญ่แล้วกว่างานเลี้ยงจะเลิกราก็จะมักจะล่วงเลยไปกว่าเวลาพักผ่อนตามปกติ นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ก็ยังทำให้ความสามารถในการนอนหลับอย่างสนิทลดลง ไม่ต่างจากความสามารถในการขับขี่ เมื่อตื่นขึ้นมาเราจึงรู้สึกอ่อนเพลีย
เมื่อเราดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ตับทำหน้าที่ย่อยสลายสารที่อยู่ในแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอะซิตอลดีไฮด์ (acetaldehyde) ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้เรารู้สึกแย่หลังจากที่เราดื่มเข้าไปจำนวนมาก
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ไม่มีอะไรแก้เมาหรือเมาค้างได้ นอกจากเวลา ฉะนั้น ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ การป้องกัน ซึ่งได้ง่ายๆหลายวิธีด้วยกันคือ
• การดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์สลับกันกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือดื่มน้ำสักแก้วโตๆก่อนออกจากบ้าน และเมื่อกลับมาจากงานเลี้ยง นอกจากนี้ อีก 1 แก้วหลังจากตื่นนอน• ไม่ควรดื่มขณะท้องว่าง รับประทานอาหารร่วมกับการดื่มด้วย• จำกัดปริมาณเครื่องดื่ม
น้ำ นม เครื่องดื่มให้พลังงานให้พลังงาน หรือ เครื่องดื่มใดๆที่ไม่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีนนั้นช่วยบรรเทาอาการสูญเสียน้ำได้ไม่แตกต่างกัน เนื่องจากมันจะช่วยทดแทนระดับของสารประกอบเกลือ (electrolytes) ในร่างกายที่สูญเสียไปในขณะที่ร่างกายสูญเสียน้ำ
นอกจากนี้ ควรรับประทานอาหารในปริมาณน้อยๆ และไม่ควรเป็นของทอด หรือ ของที่มีรสมันเลี่ยน เพราะมันจะไปเพิ่มอาการอยากอาเจียนมากขึ้น และนอนพักผ่อนไม่ควรทำงานกับเครื่องจักรหรือขับขี่ยานพาหนะ

อ้างอิง
Steve Allsop. “Q: Will sports drinks cure your hangover?”. ABC Health. 10 December 2008. 30 December 2008. < http://www.abc.net.au/health/talkinghealth/factbuster/stories/2008/12/10/2442749.htm>.


-------------------------------------------------------------------


อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/151960

มะเร็ง มะกอกช่วยได้


ผิวมะกอกอาจเป็นยาต้านมะเร็งลำไส้ในอนาคต เนื่องจากสารประกอบไตรเตอพีนอยด์ (triterpenoid compound) ที่อยู่ในผิวมะกอกนั้นมีความสามารถในการป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในลำไส้ได้ นักวิจัยพบ
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแกรนนาด้า (Universidad de Granada) และมหาวิทยาลัยบาเซโลน่า (University of Barcelona) ได้เปิดเผยผลงานการวิจัยว่ากรดมาสลินิค (maslinic acid) ที่สกัดได้จากผิวของมะกอกนั้น มีความสามารถในการยับยั้งการเจริญเติบโต (เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว) ของเซลล์มะเร็งในลำไส้และทำให้เซลล์มะเร็งนั้นแตกตายไปเองได้
เมื่อใช้กากของผลมะกอกที่มีผิวเป็นมันมาสกัด นักวิจัยได้กรดมาสลินิค (maslinic acid) ซึ่งสารประกอบจำพวกไตรเตอพีนอยด์ (triterpenoid compound) ซึ่งเป็นสารประกอบที่พบในธรรมชาติและมีความสามารถในการลดเซลล์ HT29 ซึ่งเป็นเซลล์มะเร็งในลำไส้ผ่านทางเส้นทางของเซลล์ภายใน (intrinsic mitochondrial pathway) เช่น การลดการสร้างเซลล์ก่อมะเร็ง การซ่อมแซมดีเอ็นเอ (DNA repair) การชะงักการทำงานของวงจรชีวิตของเซลล์ (cell cycle arrest) มะเร็ง เป็นต้น
สารประกอบจำพวกไตรเตอพีนอยด์ (triterpenoid compound) นั้น สามารถพบได้ในพืชที่มีคุณสมบัติเป็นยาหลายชนิด แต่ในผิวมะกอกนั้นมีสารประกอบชนิดนี้อยู่มากถึง 80% ซึ่งจะเป็นสารสกัดที่มีราคาค่อนข้างต่ำ หากจะได้มีการนำเอาผลการค้นพบนี้ไปใช้ในการผลิตยาเพื่อรักษาโรคมะเร็งในลำไส้ หรือนำมาใช้ในการป้องกันก่อนการเกิดมะเร็งในลำไส้ในกลุ่มคนทั่วไป
อ้างอิง
Universidad de Granada. "Olive Skins Provide Natural Defense Against Colon Cancer, Study Suggests." ScienceDaily 10 January 2009. 11 January 2009 <http://www.sciencedaily.com/ /releases/2009/01/090108101621.htm>.




---------------------------------------------------------------------------------




สัปดาห์ที่ 12 การดื่มกาแฟช่วยลดอาการสมองและความจำเสื่อมได้


โดย Bill Hendrick

การดื่มกาแฟในระดับปานกลางระหว่างอายุในวัยกลางคนช่วยลดความเสี่ยงจากอาการผิดปกติและความจำเสื่อมเมื่ออายุสูงวัยขึ้นได้ นักวิจัยจากประเทศฟินแลนด์และสวีเดนได้ศึกษาจากผู้คนจำนวน 1,409 คนที่มีอายุในวัยกลางคนและมีการดื่มกาแฟเป็นกิจวัตร

สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 3-5 แก้วต่อวันในช่วงอายุในวัยกลางคนจะช่วยลดความเสี่ยงในจากอาการผิดปกติทางสมองหรือจิตเสื่อม รวมทั้งโรคความจำเสื่อมด้วย

Miia Kivipelto นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Kuopio, Finland และสถาบันวิจัย Karolinskaในกรุง Stockholm, Sweden ได้กล่าวว่า การบริโภคกาแฟในปริมาณมากจากทั่วโลก ส่งผลสำคัญต่อผู้ดื่มเนื่องจากช่วยชะลอจุดกำเนิดของอาการเจ็บป่วยดังกล่าวได้

งานวิจัยนี้จำเป็นที่จะต้องได้รับการยืนยันจากการศึกษาด้านอื่นๆ ด้วย แต่ก็ชี้ให้เห็นว่ามีแนวโน้มที่ดีเกี่ยวกับประโยชน์ทางด้านโภชนาการ ซึ่งลดอัตราการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับสมองได้ และอาจจะช่วยในการรักษาโรคเหล่านี้ได้ในอนาคตด้วย

ผู้เข้าร่วมการวิจัยจะมีจะมีช่วงอายุวัยกลางคน (ประมาณ 50 ปี)ในช่วงปี 1972, 1977, 1982 หรือปี 1987 และถูกสอบถามเกี่ยวกับปริมาณกาแฟที่ดื่มในแต่ละวัน ทั้งนี้ได้มีการแยกกลุ่มผู้เข้าวิจัยเป็น 3 กลุ่มได้แก่ กลุ่มแรก มีการบริโภคในระดับต่ำ (0-2 แก้วต่อวัน) คิดเป็น 15.9% กลุ่มที่สอง บริโภคในระดับปานกลาง (3-5 แก้วต่อวัน) คิดเป็น 45.6% และกลุ่มสุดท้าย บริโภคในระดับสูง (มากกว่า 5 แก้วต่อวัน) คิดเป็น 38.5%

หลังจากนั้นประมาณ 21 ปี ผู้คนประมาณ 1,409 คนจะมีอายุระหว่าง 65-79 ปีจะถูกตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง พบว่ามีจำนวน 61 คนที่ป่วยเป็นโรคเนื่องจากความผิดปกติของสมอง และอีก 48 คนเป็นโรคความจำเสื่อม ผลการวิจัยพบว่าคนที่บริโภคกาแฟในระดับปานกลางในช่วงวัยกลางคน จะมีความเสี่ยงลดลงจากผู้ที่ดื่มน้อยหรือไม่ดื่มกาแฟเลย

โดยผู้ที่ดื่มกาแฟในระดับปานกลางจะมีความเสี่ยงต่อโรคทางสมองลดลงประมาณ 65-70% และโรคความจำเสื่อมลดลง 62-64% เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ดื่มกาแฟน้อย

สำหรับผู้ที่บริโภคกาแฟมากๆ พบว่ามีตรวจพบปริมาณ cholesterol สูงมากจนอาจมีแนวโน้มเกี่ยวกับโรคหัวใจแทน แต่ผู้ที่บริโภคกาแฟน้อยหรือไม่บริโภคเลยจะมีความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมและความจำเสื่อมมากขึ้น

นอกจากนี้การดื่มชาก็ส่งผลเช่นเดียวกัน เนื่องจากสารคาเฟอีนในชาและกาแฟจะไปกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนกลาง ทั้งนี้โรคสมองและความจำเสื่อมจะเริ่มก่อตัวในร่างกายล่วงหน้าเป็น 10 ปีก่อนที่จะสามารถตรวจพบได้ทางการแพทย์

มีงานวิจัยก่อนหน้านี้พบว่าการดื่มกาแฟจะช่วยพัฒนาความสามารถในการรับรู้ได้และสารคาเฟอีนยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคพาร์กินสัน (โรคประสาทชนิดหนึ่งทำให้มีอาการสั่น) และโรคเบาหวานชนิด Type 2 ได้อีกด้วย ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนาสารต้านอนุมูลอิสระจากกาแฟเพื่อฉีดเข้าไปในกระแสเลือดเพื่อรักษาโรคเบาหวานด้วย


ที่มา:
http://www.webmd.com/alzheimers/news/20090116/coffee-strong-enough-to-ward-off-dementia


---------------------------------------------------------------------------------


อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/152009

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่ 11 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ Visual Basic (VB)

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ Visual Basic (VB)

โปรแกรม Visual Basic (VB) เป็นโปรแกรมสำหรับพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ที่กำลังเป็นที่ นิยมใช้อยู่ในปัจจุบัน โปรแกรม Visual Basic เป็นโปรแกรมที่ได้เปลี่ยนรูปแบบการเขียนโปรแกรมใหม่ โดยมีชุดคำสั่งมาสนับสนุนการทำงาน มีเครื่องมือต่าง ๆ ที่เรียกกันว่า คอนโทรล(Controls) ไว้สำหรับช่วยในการออกแบบโปรแกรม โดยเน้นการออกแบบหน้าจอแบบกราฟฟิก หรือที่เรียกว่า Graphic User Interface (GUI) ทำให้การจัดรูปแบบหน้าจอเป็นไปได้ง่าย และในการเขียนโปรแกรมนั้นจะเขียนแบบ Event - Driven Programming คือ โปรแกรมจะทำงานก็ต่อเมื่อเหตุการณ์ (Event) เกิดขึ้น ตัวอย่างของเหตุการณ์ได้แก่ ผู้ใช้เลื่อนเมาส์ ผู้ใช้กดปุ่มบนคีย์บอร์ด ผู้ใช้กดปุ่มเมาส์ เป็นต้น
เครื่องมือ หรือ คอนโทรล ต่าง ๆ ที่ Visual Basic ได้เตรียมไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็น Form TextBox Label ฯลฯ ถือว่าเป็นวัตถุ (Object ในที่นี้ขอใช้คำว่า ออบเจ็กต์) นั่นหมายความว่า ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือใด ๆ ใน Visual Basic จะเป็นออบเจ็กต์ทั้งสิ้น สามารถที่จะควบคุมการทำงาน แก้ไขคุณสมบัติของออบเจ็กต์นั้นได้โดยตรง ในทุกๆ ออบเจ็กต์จะมีคุณสมบัติ (properties) และเมธอด (Methods) ประจำตัว ซึ่งในแต่ละออบเจ็กต์ อาจจะมีคุณสมบัติและเมธอดที่เหมือน หรือต่างกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของออบเจ็กต
ในการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ด้วย Visual Basic การเขียนโค้ดจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ เรียกว่า โพรซีเดอร์ (procedure) แต่ละโพรซีเดอร์จะประกอบไปด้วย ชุดคำสั่งที่พิมพ์เข้าไปแล้ว ทำให้คอนโทรลหรือออบเจ็กต์นั้น ๆ ตอบสนองการกระทำของผู้ใช้ ซึ่งเรียกว่าการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object Oriented Programming-OOP) แต่ตัวภาษา Visual Basic ยังไม่ถือว่าเป็นการเขียนโปรแกรมแบบ OOP อย่างแท้จริง เนื่องจากข้อจำกัดหลายๆ อย่างที่ Visual Basic ไม่สามารถทำได้


เข้าสู่โปรแกรม Visual Basic
เมื่อเข้าสู่โปรแกรม Visual Basic จะแสดงกรอบโต้ตอบสำหรับเลือกชนิดของโปรแกรมประยุกต์ ที่ต้องการ


เมื่อเลือกชนิดของโปรแกรมประยุกต์เป็นแบบ Standard EXE จะเข้าสู่หน้าต่างของ Visual Basic

ในแต่ละส่วนของ Visual Basic จะมีหน้าที่แตกต่างกันไป ซึ่งในระหว่างการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ จะต้องใช้ส่วนต่าง ๆ เหล่านี้ ในการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์
ทูลบาร์ (Toolbars)
เป็นแถบสัญลักษณ์ที่ใช้สำหรับเข้าถึงชุดคำสั่งของ Visual Basic ได้ทันที โดยจะนำคำสั่งที่ถูกใช้งานบ่อย ๆ มาแสดง

ทูลบาร์สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. Standard Toolbars เป็นทูลบาร์มาตรฐานประกอบด้วยคำสั่งที่เกี่ยวกับการจัดการ Project
2. Edit Toolbars เป็นทูลบาร์ที่ประกอบไปด้วยคำสั่งที่ใช้สำหรับช่วยในการเขียนโค้ดใน code editor
3. Debug Toolbars เป็นทูลบาร์ที่ประกอบไปด้วยคำสั่งที่ใช้สำหรับตรวจสอบการทำงานการประมวลผลโปรแกรม
4. Form Editor Toolbars เป็นทูลบาร์ที่ประกอบไปด้วยคำสั่งที่ใช้สำหรับช่วยในการปรับขนาด, ย้าย, เปลี่ยนตำแหน่งคอนโทรลต่าง ๆ ที่อยู่บนฟอร์ม
Toolboxs
คือแถบสัญลักษณ์ Controls ต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ แบ่ง เป็น 2 กลุ่ม คือ

1. คอนโทรลภายใน (Intrinsic controls) เป็นชุดคอนโทรลมาตรฐานของ Visual Basic ทุก ๆ ครั้งที่มีการเรียกใช้ Form เพื่อสร้างโปรแกรมประยุกต์ คอลโทรลชุดนี้จะถูกเรียกขึ้นมาอัตโนมัติ สามารถเลือกใช้งานคอลโทรลกลุ่มนี้ได้ทันที
2. คอนโทรล ActiveX (ActiveX controls) เป็นชุดคอนโทรลเพิ่มเติมที่ไมโครซอฟท์จัดเตรียมไว้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ การเพิ่มคอนโทรลกลุ่มนี้เข้ามาในทูลบ๊อกซ์ทำโดยเลือกเมนู Project/Components (หรือคลิ๊กขวาตรงแถบทูลบ๊อกซ์เลือกคำสั่ง
Form Designer
เป็นส่วนที่ใช้ออกแบบการแสดงผลส่วนที่ใช้ติดต่อกับผู้ใช้ ฟอร์มเป็นออบเจ็กต์แรกที่ถูกเตรียมไว้ให้ใช้งาน คอลโทรลทุกตัวที่ต้องการใช้งานจะต้องนำไปบรรจุไว้ในฟอร์ม นำคอลโทรลมาประกอบกันขึ้นเป็นโปรแกรมประยุกต์ ทุกครั้งที่เปิด Visual Basic ขึ้นมา หรือ สร้าง Project ใหม่จะมีฟอร์มว่าง 1 ฟอร์มถูกสร้างเตรียมไว้เสมอ
Project Explorer
Project Explorer ใช้สำหรับบริหารและจัดการโปรเจ็กซ์ โดยจะแสดงองค์ประกอบของแต่ละโปรเจ็กต์แบบโครงร่างต้นไม้ (tree-view)ตัวโปรเจ็กตจะหมายถึงโปรแกรมประยุกต์ซึ่งจะอยู่ส่วนบนสุด ถัดมา จะแสดงส่วนประกอบต่าง ๆ ของโปรเจ็กต์นั้น ๆ ว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง เช่น ฟอร์มโมดูล รายงาน เป็นต้น ถ้ามี 2 โปรเจ็กต์ขึ้นไป ก็จะแสดงแยกออกเป็นส่วนต่างหากอีกโปรเจ็กต์ ถ้าต้องการใช้งานส่วนใด ของโปรเจ็กต์ไหนก็สามารถคลิ๊กเลือกได้ทันที
Project Explorer แบบโปรเจ็กต์เดียว และ แบบหลายโปรเจ็กต์
ส่วนประกอบของโปรเจ็กต์
Project(n)
คือโปรแกรมประยุกต์ที่พัฒนาอยู่ มีนามสกุล .vbp
Form(n) .frm
เป็นฟอร์มที่มีอยู่ในโปรเจ็กต์นั้น ๆ ใน 1 โปรเจ็กต์อาจมีมากกว่า 1 ฟอร์มก็ได้ มีนามสกุล
Modules
เป็นที่เก็บชุดคำสั่งที่คุณเขียนขึ้นมา โดยจะเก็บชุดคำสั่งที่ใช้บ่อย ๆมีนามสกุล .bas
Class Modules
เป็นโมดูลชนิดพิเศษที่มีลักษณะเป็นอ๊อบเจ็กต์ ที่สามารถสร้างขึ้นมาได้ จะมีนามสกุล .cls
User controls
เป็นส่วนที่เก็บคอนโทรล ActiveX ที่คุณสร้างขึ้นมา มีนามสกุล .ctl
Designers
เป็นส่วนของรายงานที่ถูกสร้างขึ้นมีนามสกุลเป็น .dsr
Properties Window
หน้าต่างคุณสมบัติเป็นส่วนที่ใช้กำหนดคุณสมบัติของออบเจ็กต์ที่ถูกเลือก (adtive) หรือได้รับความสนใจ (focus) อยู่ขณะนั้น ซึ่งสามารถที่จะปรับเปลี่ยนค่าต่าง ๆ ของคอลโทรลเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและตรงกับความต้องการใช้งานได้ทันที


ในหน้าต่างคุณสมบัติ จะประกอบไปด้วยแท็ป 2 แท็ป คือ
1. แท็ป Alphabetic เป็นแท็ปที่แสดงรายการคุณสมบัติ เรียงตามตัวอักษรในภาษาอังกฤษ
2. แท็ป Categorized เป็นแท็ปที่แสดงรายการคุณสมบัติ โดยการจัดกลุ่มของคุณสมบัติที่มีหน้าที่คล้ายกัน หรือมีความสัมพันธ์กัน
หน้าต่าง Form Layout
เป็นส่วนที่แสดงให้เห็นตำแหน่งของฟอร์ม และสามารถกำหนดตำแหน่งของฟอร์ม ที่ปรากฎบนจอภาพในขณะประมวลผลได้ โดยการเคลื่อนย้ายฟอร์มจำลอง ที่อยู่ในจอภาพจำลองด้วยการ drag เมาส์ ไปยังตำแหน่งทีคุณต้องการ โดยจะมีผลในขณะประมวลผลเท่านั้น


Immediate Window
เป็นหน้าต่างที่ให้ประโยชน์ ในกรณีทีคุณต้องการทราบผล การประมวลผลโดยทันที เช่น การทดสอบโปรแกรมย่อยต่าง ๆ เป็นต้น เมื่อคุณสั่งประมวลผลโปรเจ็กต์ หน้าต่างนี้จะปรากฎขึ้นโดยอัตโนมัติ

หน้าต่าง New Project
หน้าต่าง New Project จะปรากฎขึ้นมาเมื่อเลือกเมนู File/New Project กรอบโต้ตอบนี้ จะแสดงชนิดของโปรแกรมประยุกต์ ที่คุณต้องการพัฒนา ซึ่งจะคล้ายกับตอนที่เปิดโปรแกรม Visual Basic ขึ้นมาครั้งแรก

หน้าต่าง Code Editor
เป็นส่วนที่ใช้ในการเขียนชุดคำสั่งสำหรับการประมวลผล และควบคุมการทำงานของคอลโทรล ต่าง ๆ


-----------------------------------------------------------------------------------

อ้างอิงจาก http://www.lks.ac.th/kuanjit/vb01.htm

สัปดาห์ที่ 10 วิทยาศาสตร์คอนเฟิร์ม...ดวงดูที่ความยาวนิ้ว


แม้จะดูไม่ค่อยสัมพันธ์กัน แต่นักวิทยาศาสตร์กลับเผยว่า นักธุรกิจที่ล้มเหลวมักจะมี “นิ้วนาง สั้นกว่า นิ้วชี้”


ภาพ: ทุกอย่างอยู่ที่นิ้ว ผลสำเร็จทางธุรกิจขึ้นกับความยาวนิ้ว
Credit: J. Coates et al., PNAS 106 (13 January 2009)


งานวิจัยก่อนหน้านี้รายงานว่าอัตราส่วนความยาว นิ้วชี้ต่อนิ้วนาง ประมาณ 2:4 จัดว่าเป็นอัตราส่วนที่เหมาะเหม็ง บอกถึงระดับฮอร์โมนเทสทอสเทอโรนที่ร่างกายได้รับขณะเป็นตัวอ่อน หากระดับเทสทอสเทอโรนสูงจะส่งผลให้นิ้วนางของเรายาวขึ้นยาวขึ้นจนได้อัตราส่วนระหว่างนิ้วชี้และนิ้วนางเป็น 2:4 นี่ล่ะครับ
การได้รับฮอร์โมนในขณะที่เป็นตัวอ่อนสูงนี้จะส่งผลให้ร่างกายไวต่อฮอร์โมนมากขึ้นเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นจึงพบว่าใครที่มีเทสทอสเทอโรนตอนเป็นตัวอ่อนสูงจะไวต่อฮอร์โมนนี้เมื่อเป็นผู้ใหญ่ สามารถโต้ตอบได้เร็วและเผชิญกับปัญหาได้ดีกว่า
คุณลักษณะทั้งสองประการนี้ล้วนจำเป็นต่อนักธุรกิจผู้เห็นเวลาทุกนาทีเป็นเงินเป็นทอง ทำเอาอดีตนักธุรกิจวอลล์สตรีทและนักวิทยาศาสตร์ด้านการรับรู้ของสมอง จอห์น โคทส์ ถึงกับเป็นงง…
เพิ่งจะปีที่แล้วนี้เองครับที่โคทส์รายงานว่า นักธุรกิจที่มีระดับเทสทอสเทอโรนสูงในตอนเช้าจะทำเงินได้ดีกว่านักธุรกิจที่ไม่มีคุณสมบัติข้อนี้ แถมยังพบว่า ชายที่มีอัตราส่วนความยาวนิ้วชี้ต่อนิ้วนางต่ำจะมีความสามารถในด้านกีฬาเหนือกว่าชายที่มีอัตราส่วนสูงกว่าอีกด้วย
โคทส์จึงแอบกล่าวเล่น ๆ ว่า มีโครงการจะนำลายพิมพ์นิ้วมือของนักธุรกิจ 44 คนที่เค้ากำลังศึกษาอยู่มาเปรียบเทียบกัน โดยนักธุรกิจทั้งหมดนี้ล้วนเป็นนักธุรกิจชั้นแนวหน้าของลอนดอนครับ
งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ใน รายงานความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ฉบับวันที่ 13 มกราคม โดยรายงานว่านักธุรกิจที่มีอัตราส่วนระหว่างนิ้วชี้ต่อนิ้วนางต่ำหรือก็คือผู้ที่ได้รับออร์โมนเทสทอสเทอโรนช่วงอยู่ในครรภ์สูง จะได้รับผลกำไรมากสุดในช่วงให้หลัง 20 เดือนไม่มากนัก คิดเป็นเงินประมาณ 1,232,590 ดอลลาร์ หรือประมาณเกือบ 6 เท่าของชายที่มีอัตราส่วนความยาวนิ้วสูงกว่า
ทิมม์ ฮาร์ฟอร์ด คอลัมนิสประจำไฟแนนเชียลไทม์ และผู้เขียนบทความเรื่อง ปรัชญาแห่งชีวิต(The Logic of Life: The Rational Economics of an Irrational World) กล่าวว่ารายงานนี้น่าสนใจอย่างยิ่ง ทำให้ตนได้เห็นว่าการคัดเลือกตามธรรมชาติมิได้เกิดแค่ในสิ่งมีชีวิตเท่านั้น (เป็นการคัดเลือกที่ทำให้สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเหมาะสมกว่าอยู่รอด) แต่ยังเกิดขึ้นในตลาดการค้าอีกด้วยเพราะก่อนหน้านี้ฮาร์ฟอร์ดมองธุรกิจตามหลักแห่งเหตุและผล ใครคิดดีกว่าย่อมได้เปรียบ
อย่างไรก็ตาม โคทส์เน้นว่า การศึกษานี้อ้างอิงข้อมูลจากธุรกิจชนิดเดียว หากเป็นธุรกิจที่ต้องใช้ระยะเวลานานคุณลักษณะที่กล่าวถึงนี้อาจกลายเป็นผลเสียได้ เช่น ธุรกิจการลงทุนที่ต้องวางเงินเดิมพัน ธุรกิจการลงทุนธนาคาร ธุรกิจแต่ละประ เภทล้วนต้องใช้คุณสมบัติแตกต่างกัน...

ที่มา : http://sciencenow.sciencemag.org/cgi/content/full/2009/112/1
อ้างอิง : http://en.wikipedia.org/wiki/Testosterone



-------------------------------------------------------------------------------------------



อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/152003

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่ 9 สารระเหยจากกัญชารักษาโรค


จากการศึกษาพบถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพของสารระเหยของกัญชา

จากการศึกษาพบว่า การทำให้สารระเหยจากใบกัญชาแทนที่การเผามัน จะช่วยให้สารออกฤทธิ์ของกัญชาเกิดประสิทธิภาพได้ โดยการหลีกเลี่ยงอันตรายจากสารพิษที่เกิดจากการสูดดมควันของมัน

ผลการศึกษาอาจเป็นข่าวดีสำหรับคนที่ใช้กัญชาในทางการแพทย์

ผลประโยชน์ที่สำคัญของกัญชารวมถึงการบรรเทาอาการเจ็บปวดจากหลายๆ โรค ใช้รักษาโรคต้อหิน ใช้กระตุ้นความอยากอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเอดส์ และใช้เป็นยาแก้อาเจียนสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัด แต่การสูบกัญชาไม่ใช่วิธีที่ดีของการให้ยานี้เพราะว่ามีผลเสียที่อันตราย เช่นโรคมะเร็งปอดและโรคหัวใจนอกจากการสูบแล้ว บางคนยังใช้ใบกัญชามาใช้ในการทำเป็นชาหรือใส่ในเค้กเพื่อการบริโภค แต่นั่นหมายความว่าสารสำคัญของมันจะถูกเมตาบอไลท์โดยตับมากกว่าที่จะผ่านเข้าไปในกระแสเลือดโดยตรงโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง วิธีการอื่นๆ ได้เน้นไปที่การสกัดส่วนประกอบสำคัญเช่น tetrahydrocannabinol หรือ THC และให้โดยตรงโดยทำให้อยู่ในรูปของยาเม็ดหรือสเปรย์ฉีดพ่นเข้าทางปาก อย่างไรก็ตามหลายฝ่ายคิดว่าการสกัดแยกเอาส่วนประกอบออกมาจะไม่มีฤทธิ์ในทางรักษาได้เท่ากับการใช้พืชทั้งต้นและมันก็เป็นการยากที่จะกำหนดปริมาณยาที่เหมาะสมกับแต่ละคนได้ด้วยการให้กินยาเม็ดDonald Abrams

จาก University of California ซานฟรานซิสโก และทีมของเขาได้ตัดสินใจที่จะทำการศึกษาผลดีของเครื่อง 'Volcano' ที่ใช้ทำให้สารระเหยเป็นไอ ที่มีใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ เครื่องมือนี้จะทำการให้ความร้อนใบกัญชาที่อุณหภูมิระหว่าง 180-200 องศาเซลเซียส ดังนั้นสาร THC จึงระเหยออกจากน้ำมันบนพื้นผิวของใบที่ยังไม่เกิดกระบวนการเผาใหม่การศึกษาก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นถึงอันตรายของสารพิษที่ถูกปล่อยออกมาขณะที่มีการสูบกัญชา เช่น ก๊าซคาร์บอนมอนอ๊อกไซม์ (carbon monoxide), เบนซีน (benzene) และสารที่เป็นต้นกำเนิดของสารพวก polycyclic aromatic hydrocarbons หรือที่เรียกว่าสารก่อมะเร็ง (carcinogens) สารเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าใช้เครื่องมือดังกล่าวนี้ การศึกษาของ Abrams ได้ทำการเปรียบเทียบผลของการสูบและการใช้ไอระเหยจากกัญชาในคน เป็นครั้งแรก เขากล่าวว่าเขาสามารถให้สารที่เทียบเท่ากับ THC เข้าสู่กระแสเลือดได้
ความแตกต่างหลักๆ ระหว่างวิธีการให้สาร 2 วิธี
คือ สาร THC ดูเหมือนว่าจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเร็วการการใช้เครื่อง vaporizer และได้มีการเปรียบเทียบผลทางเภสัชวิทยาและสรีระวิทยา ถึงแม้ว่ายังต้องการการศึกษาที่มากกว่านี้เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าทั้งสองวิธีนี้ให้ผลทางชีววิทยาที่เท่ากันการศึกษาแรกที่เน้นศึกษาถึงข้อดีของการใช้เครื่อง vaporizer กับกัญชาได้มีการตีพิมพ์มากว่า 5 ปีแล้ว แต่ความก้าวหน้าของงานวิจัยเป็นไปอย่างเชื่องช้า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่ามีแหล่งวิจัยเพียงแหล่งเดียวที่ได้รับอนุญาตให้ใช้กัญชาในสหรัฐอเมริกา คือสถาบัน the National Institute on Drug Abuse (NIDA) การวินิจฉัยทางกฎหมายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์นี้แนะว่าสั่งให้ US Drug Enforcement Administration (DEA) และ NIDA มีเอกสิทธิ์เพียงผู้เดียวทางกฎหมายในการผลิตกัญชาสำหรับใช้ในงานวิจัยLaura Bell จาก Multiple Sclerosis Society ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า ในสมาคมของเธอได้สนับสนุนการวิจัยเรื่อง cannabinoid ในคนเกี่ยวกับโรค multiple sclerosis การสูบกัญชามีผลทำให้ได้รับสารเคมีที่เป็นพิษหลายตัว และยินดีที่จะรับงานวิจัยที่มีวิธีที่ดีกว่า ปลอดภัยกว่าในการได้รับสารดังกล่าวใบกัญชาไม่ได้เป็นสารเดียวที่เหมาะสำหรับทำให้ระเหยโดย vaporizer พืชสมุนไพรตัวอื่นเช่น ยูคาลิปตัส และคาโมไมล์ก็สามารถใช้ได้ หรือพืชอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติทางการแพทย์ของสารระเหยที่มีอยู่ในใบของมัน


----------------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/94913

สัปดาห์ที่ 8 ลดแคลอรี “เพิ่มความจำ”


นักวิจัยชาวเยอรมันเผย ความจำจะดีขึ้นหากลดปริมาณอาหารลงสักสามส่วน


ภาพ: จำกัดปริมาณแคลอรีที่อาสาสมัครได้รับ


งานนี้ศึกษาในอาสาสมัครสูงวัยจำนวน 50 คน โดยให้อาสาสมัครทานอาหารที่เตรียมไว้ หลังจากนั้นสามเดือนจึงทดสอบความจำ ด้านนักโภชนาการเตือนว่า การลดอาหารอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี
ผลการวิจัยในสัตว์จำนวนมากระบุว่าการลดแคลอรีช่วยทำให้สัตว์อายุยืนและช่วยลดโรคภัยที่จะตามมา สำหรับในคนนั้นยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะเกิดผลเช่นเดียวกับในสัตว์ทดลองหรือไม่ แต่หากคิดจะลดให้ได้ผลจริงๆ ก็ต้องลดอย่างหนักหนาสาหัส ขณะนี้นักวิจัยกำลังสำรวจว่าประโยชน์ที่ได้เกิดจากกลไกใดในร่างกาย โดยเชื่อว่าการลดแคลอรีจะช่วยลดอนุมูลอิสระในร่างกายได้ อนุมูลอิสระนั้นเป็นสารที่มีพิษต่อร่างกาย ทำให้เกิดการติดเชื้อและเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ รวมถึงความชราหลังจากที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมุนสเตอร์พบว่าการลดแคลอรีในหนูลง 30% ช่วยเพิ่มความจำหนูได้ จึงเริ่มทดลองในคนโดยใช้อาสาสมัครอายุเฉลี่ยประมาณ 60 ปี แบ่งออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกทานอาหารที่มีแคลอรีตามปกติ กลุ่มสองทานอาหารคล้ายกลุ่มแรกเพียงแต่มีสัดส่วนกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงกว่า เช่น น้ำมันปาล์ม หรือน้ำมันปลา ส่วนกลุ่มสุดท้ายให้ทานอาหารจำกัดแคลอรี หลังจากนั้นสามเดือนจึงทดสอบความจำของอาสาสมัคร พบว่าอาสาสมัครสองกลุ่มแรกมีค่าความจำไม่แตกต่างกัน ส่วนกลุ่มสุดท้ายมีความจำดีกว่าและมีระดับอินซูลินและการอักเสบน้อยกว่า คาดว่าผลที่ได้นี้ช่วยสนับสนุนให้มีความจำดีขึ้น คือ ช่วยให้เซลล์สมองมีสุขภาพดีขึ้นนั่นเอง เป็นครั้งแรกที่ศึกษาพบว่า การลดแคลอรีช่วยเพิ่มความจำในผู้สูงอายุได้ โดยอาจนำไปใช้ประโยชน์ด้านการรักษาและพัฒนาการรับรู้ในผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตามการทดลองนี้ไม่เพียงแต่จำกัดปริมาณแคลอรีที่รับประทานเท่านั้นยังดูแลเรื่องวิตามินและโภชนาการตามที่ร่างกายควรจะได้รับอีกด้วย


ดร.เลก กิบสัน จากมหาวิทยาลัย Roehampton กล่าวว่า การลดระดับอินซูลินอาจช่วยพัฒนาสุขภาพจิตได้ อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่มีผลต่อสมองบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำ ในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานประเภทที่สองร่วมกับระดับอินซูลินที่สูงส่งผลให้ความจำแย่และมีความผิดปกติด้านการรับรู้
เบาหวานประเภทที่สองนั้นไม่ได้เกิดจากการขาดอินซูลิน โดยอาจจะมีอินซูลินเพิ่มขึ้นในร่างกายแต่ก็ยังเป็นโรคเบาหวานเพราะมีปัจจัยหรือสารบางอย่างทำให้ร่างกายไม่สามารถใช้อาหารประเภทแป้งและน้ำตาลให้เป็นพลังงานได้ตามปกติ ด้านโฆษกสมาพันธ์โภชนาการอังกฤษกล่าวว่า ผู้ที่มีน้ำหนักปกติหรือน้ำหนักน้อยอยู่แล้วควรระมัดระวังหากจะลดแคลอรี เนื่องจากมีรายงานว่าการอดอาหารหรือลดมื้ออาหารลงมีส่วนทำให้ความจำไม่พัฒนาและทำให้สมองทำงานได้น้อยลง จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการลดแคลอรี 30% ในผู้มีน้ำหนักปกติไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย ดังนั้นผู้ที่มีน้ำหนักน้อยอยู่แล้วจึงควรระมัดระวังเพราะอาจเกิดอันตรายได้

ที่มา: http://news.bbc.co.uk/2/hi/health/7847174.stm
อ้างอิง: http://www.webmd.com/brain/news/20090126/fewer-calories-better-memory
http://www.medicinenet.com/script/main/art.asp?articlekey=96037
http://www.yourhealthyguide.com/article/ad-diabete-2.htm

-----------------------------------------------------------------------------------------

อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/152053

สัปดาห์ที่ 7 วิทยาศาสตร์ในเตา...

เตาในสงคราม
ใครจะรู้บ้างว่าเตาไมโครเวฟที่ปัจจุบันใช้กันอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะชีวิตในเมืองที่รีบเร่งของเรา ๆ จะถือกำเนิดในระหว่างสงคราม สมัยสงครามโลกครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2483 แรลดาลล์และบูท นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ที่เรียกว่า “แมกนิตรอน” เพื่อใช้ในการตรวจจับเครื่องบินรบของฝ่ายนาซี โดยแมกนิตรอนที่จะส่งคลื่นไมโครเวฟออกไป เมื่อคลื่นกระทบกับเครื่องบินก็จะสะท้อนให้เห็นบนจอเรดาร์ หลังสงครามโลก ก็ยังคงมีการศึกษาแมกนิตรอนเพื่อประโยชน์ทางการค้าอย่างต่อเนื่อง โดย ดร.เฟอร์ซี สเปนเซอร์ ได้พบว่าแมกนิตรอนสามารถทำให้ช็อกโกแลตละลายได้โดยบังเอิญ เตาไมโครเวฟจึงถูกพัฒนาขึ้น โดยไมโครเวฟเครื่องแรกมีขนาดใหญ่ถึง 1.5 เมตร แล้วค่อย ๆ พัฒนาขึ้นจนมีลักษณะเป็นอย่างปัจจุบัน

ตัวกำเนิดคลื่นไมโครเวฟ
เตาไมโครเวฟใช้คลื่นไมโครเวฟในการปรุงอาหาร คลื่นไมโครเวฟเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่งอยู่ในช่วงคลื่นวิทยุซึ่งเป็นคลื่นที่มีความยาวคลื่นมากกว่าคลื่นแสงที่ตาเห็น จึงใช้คลื่นที่มีความถี่ประมาณ 2,500 เมกะเฮิรตซ์ (2.5 × 109 Hz) หรือมีความยาวคลื่นประมาณ 12 เซนติเมตรในขณะที่คลื่นวิทยุ จส.100 ใช้คลื่นความถี่ 100 เมกะเฮิรตซ์ หรือมีความยาวคลื่น 3 เมตร คลื่นไมโครเวฟในช่วงนี้มีสมบัติที่น่าสนใจมากคือ จะถูกดูดกลืนโดย น้ำ ไขมัน และ น้ำตาลได้ดี แล้วพลังงานคลื่นที่ถูกดูดกลืนจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนทำให้โมเลกุลสั่นรุนแรงยิ่งขึ้น พูดง่าย ๆ คือ เกิดความร้อนขึ้นนั่นเอง แต่ที่น่าแปลกก็คือ คลื่นไมโครเวฟในช่วงนี้จะไม่ถูกดูดกลืนโดย แก้ว เซรามิก และพลาสติก ในขณะที่แผ่นโลหะจะสะท้อนคลื่นไมโครเวฟได้ดี ดังนั้นการปรุงอาหารด้วยภาชนะโลหะในเตาไมโครเวฟจึงมีประสิทธิภาพไม่ดีเท่าที่ควร




ไมโครเวฟทำให้อาหารสุกได้อย่างไร

เราคงเคยได้ยินว่าไมโครเวฟทำให้อาหารสุกจากภายใน แต่เตาอบทั่วไปทำให้อาหารสุกจากภายนอก ในเตาอบธรรมดา ถ้าเราต้องการอบขนมปังโดยตั้งอุณหภูมิเตาไว้ที่ 350 องศาเซลเซียส แต่จริง ๆ แล้วภายในเตาอาจมีอุณหภูมิสูงกว่าที่ตั้งไว้ คือ ถึง 600 องศาเซลเซียส ความร้อนที่เกิดขึ้นจะถูกถ่ายโอนไปยังอาหารด้วยการนำความร้อนจากภายนอกสู่ภายในอาหาร ในขณะที่ภายในเตายังมีอากาศร้อนและแห้งดังนั้นความชื้นในอาหารจะถูกระเหยไป สิ่งที่เราได้คือ ขนมปังที่ด้านนอกมีสีน้ำตาล กรอบ แต่ภายในยังคงอุ่นอยู่

แต่เตาไมโครเวฟทำงานต่างออกไป โดยคลื่นไมโครเวฟในเตาจะทะลุเข้าไปในเนื้ออาหารทำให้โมเลกุลของน้ำและไขมันสั่น ทำให้เกิดความร้อนภายในอาหารเกือบพร้อมกันทุกส่วน โดยไม่ต้องอาศัยการนำความร้อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง แต่การปรุงอาหารด้วยไมโครเวฟก็มีข้อจำกัดเหมือนกัน คือ ในการปรุงอาหารที่หนามาก ๆ หรือใหญ่มาก คลื่นไมโครเวฟไม่สามารถทะลุผ่านเข้าไปถึงใจกลางของอาหารได้ ทำให้ความร้อนภายในอาหารนี้ไม่สม่ำเสมอซึ่งอาจทำให้อาหารสุกได้ดีไม่เท่ากัน ข้อจำกัดอีกประการหนึ่งที่สำคัญคือ คุณสมบัติการแทรกสอดของคลื่นจะทำให้เกิด จุดร้อน (hot spot) และจุดเย็น (cold spot) ทำให้อาหารร้อนมากในบางจุดและดิบในบางจุด

ความเชื่อหรือความจริง

• ถ้าเอามดใส่เตาไมโครเวฟ มดจะไม่ตาย เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เนื่องจากมดมีขนาดตัวเล็กกว่าความยาวคลื่นไมโครเวฟในเตามาก และมดเคลื่อนที่ตลอดเวลา ทำให้มดไม่ได้รับอิทธิพลของคลื่นไมโครเวฟมาก นอกจากนี้มดเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่กลางแจ้ง มันจึงมีกลไกที่ปกป้องและหลีกเลี่ยงอันตรายที่จะเกิดจากความร้อนในเตาได้

• ถ้าเอาส้อมใส่เตาไมโครเวฟ จะทำให้เตาระเบิดได้ เรื่องนี้ค่อนข้างเกินจริง แต่จะมองข้ามประเด็นข้อระมัดระวังในเรื่องนี้ไปเลยคงไม่ได้ เพราะแผ่นโลหะบาง ๆ รวมถึงโลหะปลายแหลมจะถูกทำให้ร้อนอย่างรวดเร็วมากในเตาไมโครเวฟจนอาจทำให้ลุกเป็นไฟได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ การอบถุงข้าวโพดคั่วที่มีลวดเย็บกระดาษติดอยู่ ลวดเย็บกระดาษจะถูกทำให้ร้อนอย่างรวดเร็วและมีอุณหภูมิสูงมาก จนทำให้ไฟไหม้ถุงกระดาษได้ ซึ่งจะลุกลามเป็นเรื่องใหญ่ได้ ดังนั้นทางที่ดีที่สุด คือหลีกเลี่ยงการใช้โลหะทุกชนิดในเตาไมโครเวฟไปเลย

• ห้ามต้มน้ำหรือชงกาแฟในไมโครเวฟ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ควรบอกต่อ ๆ เพื่อเตือนกันไว้ การต้มน้ำในไมโครเวฟอาจกลายเป็นเรื่องถึงห้องฉุกเฉินได้ โดยเฉพาะการต้มน้ำในแก้วเซรามิก หรือ แก้วใส ๆ ธรรมดา น้ำที่ต้มในไมโครเวฟบางครั้งอาจระเบิดได้ เพราะ น้ำจะถูกต้มให้มีอุณหภูมิสูงกว่าจุดเดือดของน้ำปกติ (superheated water) ปกติเวลาน้ำเดือดเราจะเห็นฟองอากาศลอยผุดขึ้นผิวน้ำ ฟองอากาศนี้ช่วยลดอุณหภูมิของน้ำให้อยู่ที่จุดเดือดปกติ ถ้าไม่มีฟองอากาศอุณหภูมิของน้ำอาจสูงกว่าจุดเดือดมากจนทำให้เกิดน้ำระเบิดได้ แต่ถ้าไม่มีการระเบิดในเตาไมโครเวฟ การนำน้ำที่ต้มด้วยเตาไมโครเวฟออกมาชงกาแฟเป็นเรื่องร้ายแรงมาก เพราะน้ำที่มีอุณหภูมิสูงกว่าจุดเดือดปกติ เปรียบเสมือนระเบิดเวลา เพราะน้ำที่เดือดแล้วควรจะกลายเป็นไอแต่กลับคงอยู่ในสถานะของเหลว การใส่กาแฟ หรือน้ำตาล หรือแม้กระทั่งถุงชาลงไป จะรบกวนระบบทำให้น้ำกลายเป็นไอและขยายปริมาตรอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นระเบิดน้ำเดือดขนาดย่อม ๆ ซึ่งอาจร้ายแรงมาก นอกจากนี้การระเบิดขณะต้มเส้นสปาเกตตี้ ต้มไข่ และการระเบิดของไข่แดงขณะที่ทำไข่ดาว ก็สามารถอธิบายได้ในทำนองเดียวกัน

ข้อควรระวังอื่น ๆ ในการปรุงอาหารด้วยเตาไมโครเวฟ

• อาหารที่ปรุงในเตาไมโครเวฟอาจสุกไม่เท่ากัน จึงอาจทำให้แบคทีเรียบางชนิดยังมีชีวิตอยู่ได้ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงนี้จึงควรจัดอาหารให้อยู่กระจาย ๆ แล้วปรุง 2 ครั้ง หมุนตำแหน่งอาหารไปเรื่อย ๆ ถ้าชิ้นอาหารมีความหนาควรกลับด้านระหว่างปรุง

• เนื่องจากอาหารมีโอกาสเกิดจุดร้อน หรือมีอุณหภูมิสูงมากในบางจุด จึงไม่ควรใช้เตาอุ่นนม หรือปรุงอาหารสำหรับเด็กเล็ก

• ควรนำพลาสติกห่ออาหารออกให้เรียบร้อยก่อนละลายอาหารแช่แข็ง เพราะพลาสติกอาจละลายและอาหารได้รับอันตรายจากสารเคมีนั้น

• ใช้ภาชนะที่ระบุว่าใช้ได้สำหรับไมโครเวฟเท่านั้น

• ไม่ควรใช้ถุง กระดาษหนังสือพิมพ์ โลหะหรือแผ่นฟอยล์ในเตาไมโครเวฟ

สัปดาห์ที่ 6 เกิดอะไรขึ้นเมื่อหินกระทบน้ำ


บางคนอาจจะคิดว่าก้อนหินตกลงน้ำนั้นเป็นเรื่องธรรมดาไม่น่าสนใจ แต่ได้มีนักวิจัยของ
มูลนิธิที่ทำการวิจัยเบื้องต้นของสสารอย่าง FOM (Foundation for Fundamental Research on Matter) จากมหาวิทยาลัย Twente ในประเทศเนเธอร์แลนด์และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Seville ในประเทศสเปนได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่หินตกลงไปในน้ำ โดยได้ทำการอธิบายรูปแบบและลักษณะของน้ำที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเมื่อก้อนหินตกลงไปด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งในการศึกษาจะมุ่งไปยังช่วงเวลาที่วัตถุหรือก้อนหินตกกระทบไปบนผิวน้ำ พวกเขาได้สังเกตสิ่งที่เกิดขั้นโดยใช้กล้องที่มีความสามารถในการจับภาพเคลื่อนไหวที่มีความเร็วสูงมากและใช้คอมพิวเตอร์จำลองรูปแบบลักษณะที่เกิดขึ้น
งานวิจัยนี้ได้แสดงให้เห็นลำน้ำที่พุ่งไปข้างหน้าเป็นชั้นๆ ลักษณะเหมือนเป็นคลื่นน้ำเล็กๆกระจายตัวออกไป ซึ่งเกิดจากแรงดันของน้ำที่อยู่โดยรอบ โดยแบบจำลองที่ถูกสร้างขึ้นมานี้มีความใกล้เคียงกับความจริงมาก พวกเขายังได้คิดค้นทฤษฎีที่มีพื้นฐานมาจากการทดลองนี้และยังสามารถที่จะอธิบายลักษณะของลำน้ำที่เกิดขึ้น ผลจากการวิจัยนี้ไม่ได้มีความสำคัญแต่ในด้านวิชาการเท่านั้น เนื่องจากข้อมูลและทฤษฏีบทที่ได้นั้นยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆอีกด้วย ซึ่งลำน้ำที่เกิดขึ้นเนื่องจากการกระทบกันของวัตถุอื่นๆบนผิวน้ำเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำทั้งในธรรมชาติและในอุตสาหกรรมต่างๆ
ถ้ามีหินก้อนหนึ่งตกลงไปบนน้ำด้วยความเร็ว จะเกิดลำน้ำหรือคลื่นน้ำเล็กๆพุ่งขึ้นมาโดยจะปรากฏในช่วงเวลาสั้นๆ และรวดเร็ว ปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นให้เห็นเสมอ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่ที่เรามองเห็นเท่านั้น ถ้าเราใช้กล้องที่มีความเร็วสูง จะทำให้เราเห็นการเคลื่อนที่ในทิศทางลงไปของวัตถุสวนทางกับการเคลื่อนที่ขึ้นมาของลำน้ำ และบริเวณทิศทางด้านหลังของวัตถุที่เคลื่อนนั้นจะเกิดช่องว่างระหว่างการกระทบกันของวัตถุและผิวน้ำในช่วงระยะเวลาสั้นมากๆ ก่อนที่น้ำจะไหลมาบรรจบกัน
ช่องว่างที่เกิดขึ้นนี้จะถูกกดด้วยแรงดันของน้ำอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีรูปแบบเหมือนกับลำน้ำโดยลักษณะการดันของแรงดันน้ำมีลักษณะคล้ายกับการที่ยาสีฟันถูกบีบออกมาจากหลอดนั่นเอง ลักษณะการกระทบที่ปรากฏจะขึ้นอยู่กับชนิดของสสาร เพื่อสังเกตลักษณะการเกิดเหตุการณ์ได้ละเอียดมากขึ้นนักวิจัยได้วาดภาพที่มีลักษณะคล้ายๆวงกลมบนผิวน้ำ โดยใช้มอเตอร์กระแสตรงที่เคลื่อนที่เป็นวงกลมด้วยความเร็วคงที่ และใช้กล้องความเร็วสูงจับภาพที่เกิดขึ้นซึ่งกล้องสามารถจับภาพด้วยความเร็วถึง 30,000 ภาพต่อวินาที
การจำลองรูปแบบที่เกิดขึ้นนี้มีความใกล้กับการทดลองที่เกิดจากการทดสอบจริงมาก นักวิจัยสามารถศึกษารูปแบบการไหลของน้ำที่เกิดขึ้นนั่นก็คือลักษณะลำน้ำที่พุ่งไปข้างหน้าเป็นชั้นๆ ทะลุผ่านกำแพงน้ำ โดยนักวิจัยได้นำเสนอทฤษฎีที่จะสามารถอธิบาย ความเร็วมหาศาลที่เกิดขึ้นของลำน้ำบนพื้นฐานจากการสังเกตได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาตร์
Publication: High-Speed Jet Formation after Solid Object Impact, Physical Review Letters, 23 January, 2009.


ที่มา
www.physorg.com/news152472693.html
---------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/152058

สัปดาห์ที่ 5 สุดยอด เรื่องจริง

1.พลูโตหลุดวงโคจรระบบสุริยะ
ข่าวช็อกข่าวใหญ่ใน แวดวงจักรวาล เมื่อนักดาราศาสตร์จากทั่วโลกพร้อมใจกันลดสถานะดาวพลูโตที่อยู่ เป็นเพื่อนโลกมานาน 76 ปี เป็นเพียงดาวเคราะห์แคระ พร้อมปรับแผนที่ดาวเคราะห์ใหม่จาก 9 ดวง เป็น 11 ดวง โดยแบ่งเป็น "ดาวเคราะห์" 8 ดวง และ "ดาวเคราะห์แคระ" ซึ่งมีด้วยกัน 3 ดวง ด้วย ได้แก่ พลูโต ซีเรส และ ซีนา

2.จักรวาล : แหล่งค้นคว้าไม่เคยสิ้นสุด
ด้วยความที่จักรวาลไม่มีที่สิ้นสุด การสำรวจจักรวาลจึงไม่มีที่สิ้นสุดเช่น กัน ล่าสุด นาซาได้ส่งยานนิว ฮอไรซันส์ ออกไปสำรวจดาวเคราะห์น้อยพลูโต เพื่อทำ ความรู้จักกับเพื่อนบ้านที่ไม่ค่อยรู้จักดวงนี้มากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะไปถึงอย่าง เร็วที่สุดในปี 2558 ขณะเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์ได้จำลองสร้างปรากฏการณ์บิ๊กแบ ง หรือทฤษฎีการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นมาใหม่ เพื่อไขปริศนาต่างๆ รวมทั้งหาต้น กำเนิดของจักรวาลด้วย

3.ดวงจันทร์ : เป้าหมายต่อไปของมหาอำนาจ
สหรัฐได้หันกลับมาสนใจดาวบริวารดวงนี้อีกครั้ง โดยเตรียมสร้างยานอวกาศชุด ใหม่เพื่อส่งมนุษย์กลับไปดวงจันทร์ในปี 2557 และมีแผนจะสร้างฐานถาวรที่มีมนุษย์ ประจำการ รวมทั้งจะใช้ฐานแห่งนี้เป็นจุดแวะพักก่อนเดินทางไปสำรวจดาวอังคาร ทั้ง ยังวางแผนระเบิดดวงจันทร์หาน้ำ หลังพบว่าขั้วใต้ของดวงจันทร์มีก๊าซไฮโดรเจน จำนวนมาก ซึ่งมีโอกาสที่จะรวมตัวกับก๊าซออกซิเจนทำให้เกิดน้ำ
ด้านจีนก็มีแผนจะส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ในปี 2567 พร้อมโอ่จะถ่ายทอดเพลงจากดาว เทียมโคจรรอบดวงจันทร์ที่จะส่งขึ้นไปในปีหน้า ส่วนอินเดียก็ฝันจะมุ่งสู่ดวง จันทร์ในอีก 14 ปี ขณะที่อีกหลายประเทศอย่าง มาเลเซีย เกาหลีใต้ แม้จะไม่ฝันไกล ถึงไปดวงจันทร์ แต่ก็ส่งนักบินอวกาศคนแรกของประเทศไปฝึกเพื่อเตรียมบินเป็น เกียรติแก่ประเทศแล้ว

4.อวกาศเชิงพาณิชย์ : เป้าหมายใหม่ของการ บุกเบิก
จากที่เคยเป็นการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ ขณะนี้อวกาศกลายเป็นสมรภูมิของการ แข่งขันของนักธุรกิจไปแล้ว ล่าสุด นักธุรกิจอเมริกันได้ส่งดาวเทียมจิเนซิส 1 เพื่อชิมลางก่อนจะสร้างสถานีอวกาศเชิงพาณิชย์เป็นโรงแรม ขณะที่ตลาดท่องอวกาศก็ มีข้อเสนอยวนใจล่าสุดก็คือ ให้ออกไปเดินท่องนอกสถานีอวกาศด้วยราคาตั๋ว 1,400 ล้านบาท ทำให้จีนอยากกระโดดเข้ามาร่วมแชร์ตลาดนี้บ้าง
ส่วนญี่ปุ่นที่แม้จะยังไม่ประสบความสำเร็จทางอวกาศเช่นประเทศต่างๆ ก็ยังเสนอ ผลิตดาวเทียมขนาดเล็กให้แก่นักรักยุคอวกาศที่ต้องการส่งจดหมายรัก หรือทรัพย์ สมบัติมีค่าส่วนตัวออกไปโคจรนอกโลกในสนนราคาดวงละ 34 ล้านบาท ด้านโครงการอวกาศ รัสเซียก็รับจ้างโฆษณาให้บริษัทไม้กอล์ฟด้วยการให้นักบินออกไปตีกอล์ฟนอกสถานีไอ เอสเอส ส่วนทางเลือกของคนเงินน้อยก็หันไปท่องอวกาศในเวบไซต์กูเกิล ที่เพิ่งจับ มือกับนาซาเปิดโอกาสให้นักท่องเน็ตได้ท่องอวกาศเสมือนจริงแม้นั่งอยู่ที่ บ้าน

5.อินเทอร์เน็ต : พลังขับเคลื่อนแห่งโลกาภิวัตน์
ถึงวันนี้คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า อินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของพลังคนรุ่น ใหม่จำนวนมหาศาลที่ร่วมกันขับเคลื่อนสังคมโลกาภิวัตน์ โดยอาศัยเทคโนโลยีการถ่าย เทข้อมูลไร้พรมแดนบนโลกออนไลน์ ซึ่งหลายครั้งที่อินเทอร์เน็ตเป็นผู้จุดวัฒนธรรม ใหม่ๆ ขึ้นในสังคม ตัวอย่างล่าสุดคงหนีไม่พ้นปรากฏการณ์ภูมิใจนำเสนอตัวเองของ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านเวบไซต์มหาชนอย่าง มายสเปซ (MySpace) และ ยู ทูบ (YouTube) ที่รายหลังถึงกับได้รับการยกย่องจากนิตยสารไทม์ ในฐานะผู้ปฏิวัติ วงการอินเทอร์เน็ต และสุดยอดสิ่งประดิษฐ์แห่งปี 2006

6.ค้นพบธรรมชาติเร้นลับ
ธรรมชาติถือเป็นแหล่งเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์ ทุกวินาทีที่ผ่านไป ผู้ X วชาญจากทั่วโลกได้เผชิญกับเรื่องน่าตื่นเต้นอัศจรรย์ใจจากการค้นพบสิ่ง ใหม่อยู่เสมอ ซึ่งการค้นพบที่น่าสนใจในปีนี้ ได้แก่
- พบกบ 8 สายพันธุ์ใหม่ในลาว ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สังกัดสมาคมคุ้มครองสัตว์ป่า โลก (ดับเบิลยูซีเอส) ยังค้นพบด้วยว่ากบเพศผู้มีขนาดเล็กกว่าเพศเมียถึงครึ่ง หนึ่ง
- งูเปลี่ยนสีสายพันธุ์ใหม่ โดยนักวิจัยค้นพบระหว่างสำรวจวนอุทยานแห่งชาติเบ ตุง เคริฮุน ใจกลางเกาะบอร์เนียว ในอินโดนีเซีย ซึ่งงูมีพิษชนิดนี้สามารถ เปลี่ยนสีได้เองตามธรรมชาติ แต่ไม่ได้เปลี่ยนให้กลมกลืนตามสภาพแวดล้อมเหมือน กิ้งก่า
- ปลาดึกดำบรรพ์ยุคเดียวกับไดโนเสาร์ ปลา "ซีลาแคนธ์" ที่พบนอกเกาะสุลาเวสี นี้ เคยอยู่ร่วมยุคเดียวกับไดโนเสาร์และคาดว่าสูญพันธุ์ไปเมื่อ 65 ล้านปี จนได้ รับการขนานนามว่า "ฟอสซิลมีชีวิต"
- พบกล้วยไม้ผสมพันธุ์เองเพื่ออยู่รอด กล้วยไม้สีชมพูที่มีชื่อทางวิทยา ศาสตร์ว่า "ฮอลโคกลอสซัม อเมเซียนุม" สามารถบิดเกสรตัวผู้เป็นมุมถึง 360 องศา เพื่อนำพาละอองเกสรไปใส่ในกระเปาะตัวเมีย คาดว่าเป็นครั้งแรกที่พบพืชผสมพันธุ์ ด้วยตัวเอง
- ติดกล้องจับอนุภาคใต้ทะเล นักวิทยาศาสตร์จากหลายมหาวิทยาลัยได้วางแผนติด ตั้งกล้องโทรทรรศน์มูลค่า 9,800 ล้านบาท ไว้ในส่วนลึกที่สุดของทะเลเมดิเต อเรเนียนเพื่อตรวจจับอนุภาคนิวตริโนในจักรวาลที่หลุดรอดเข้ามายังโลก เพื่อทำ ความเข้าใจในความซับซ้อน และพัฒนาการของจักรวาล

7.ฤาปริศนาจะได้รับการคลี่คลาย?
- จูดาส์ไม่ได้ทรยศพระเยซู การไขปริศนาที่ขัดกับความเชื่อของชาวคริสต์ที่มี มาเกือบ 2,000 ปีนี้ อ้างอิงจากเอกสารโบราณอายุกว่าพันปีเรื่อง "คำสั่งสอนของ พระเยซูคริสต์ โดยจูดาส์" เขียนด้วยภาษาคอปติกบนแผ่นกระดาษปาปิรุส ที่พบกลาง ทะเลทรายในอียิปต์ ซึ่งเผยว่า แท้จริงแล้วจูดาส์ไม่ได้ทรยศพระเยซู แต่ยอมทรยศ ตามคำขอร้องของพระพระเยซูเอง
- พบคำตอบปัญหาโลกแตก : ไข่เกิดก่อนไก่ ในที่สุดปัญหาโลกแตกก็จะถึงกาลอวสาน เมื่อนักวิทยาศาสตร์ นักปราชญ์ และผู้เลี้ยงฟาร์มไก่รวม 3 คน ชี้ว่า นกตัวแรก ที่วิวัฒนาการกลายเป็นไก่ จะต้องเริ่มเป็นไก่ตั้งแต่เป็นตัวอ่อนอยู่ในไข่ แถม ไข่ยังอยู่มานานก่อนที่ไก่ตัวแรกจะถือกำเนิดขึ้นในโลกนี้ซะอีก
- ร่างภาพเหมือน "แจ็ค เดอะ ริปเปอร์" นักวิเคราะห์อังกฤษได้นำเทคโนโลยีทัน สมัยในการสเก็ตช์ภาพคนร้ายมาร่างภาพเหมือนของแจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ฆาตกรต่อเนื่อง ชื่อดังในยุควิกตอเรีย ที่ใช้มีดสังหารเหยื่อที่เป็นโสเภณีอย่างโหด X ม โดย อาศัยการให้ปากคำของพยานเมื่อ 118 ปีที่แล้ว ปรากฏว่าได้ภาพชายมีหนวด ไรผมค่อน ข้างเถิก ขนคิ้วยุ่งเป็นกระเซิง อายุระหว่าง 25-35 ปี สูง 165-175 ซม.
- ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เพราะดาวหางชนโลก ? - ทฤษฎีนี้จริงหรือไม่ยังไม่มีการ ยืนยัน แต่นายวอลเตอร์ อัลวาเรซ นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยา เขตเบิร์คลีย์ ผู้เสนอทฤษฎีนี้เป็นผู้ชนะรางวัลผลงานวิจัยยอดเยี่ยมจากสถาบัน วิจัยดีเซิร์ท โดยอธิบายว่า ได้ตรวจพบธาตุอิริเดียมในปริมาณสูงผิดปกติ ซึ่งเป็น สิ่งที่หาได้ยากมากบนโลก แต่กลับพบบ่อยในดาวหางและดาวเคราะห์น้อย ดังนั้น ธาตุ เหล่านี้ต้องมาจากดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่พุ่งชนโลกจนส่งควัน ฝุ่นละออง และ อิริเดียมขึ้นสู่ท้องฟ้า บดบังแสงอาทิตย์ ทำให้อุณหภูมิของโลกลดต่ำลงจนพืช พันธุ์ และสิ่งมีชีวิตล้มตายหมด

8.การคิดค้น : วิทยาการที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
- ห้องทดลองญี่ปุ่นสร้างเสียง "ดาวินชี-โมนาลิซา" สำเร็จ ผลงานชิ้นเลิศนี้มา จากห้องทดลองเจแปน อะคูสติก โดยวิเคราะห์โครงสร้างกะโหลก ซึ่งสันนิษฐานว่าโมนา ลิซาน่าจะมีโทนเสียงที่ค่อนข้างต่ำและเสียงขึ้นจมูกนิดหน่อย ขณะที่ ลีโอนาร์โด ดาวินชี จิตรกรเอก เชื่อว่าน่าจะมีใบหน้าอูมย้อยลงมา ทำให้มีเสียงโทนต่ำ ไพเราะ
- พบทฤษฎีผลิตเสื้อคลุมล่องหนเหมือน "แฮร์รี่ พอตเตอร์" นักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยดุก รัฐนอร์ทแคโรไลนาในสหรัฐ และมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล ในกรุง ลอนดอน ประเทศอังกฤษ สามารถพัฒนาแบบร่างเสื้อคลุมล่องหนเหมือนที่พ่อมดน้อยแฮ ร์รี่ พอตเตอร์ได้แล้ว โดยประกอบจากวัสดุหลายชนิดเรียกว่า "เมตาแมททีเรียล" ซึ่งจะสามารถหักเหแสง เสียง และเป็นตัวนำคลื่นรังสีต่างๆ ให้ไหลไปรอบเสื้อราว กับไหลผ่านช่องว่างในอวกาศ
- โคลนนิ่งหมูมีโอเมก้า 3 สูง คณะนักวิจัยในสหรัฐโคลนนิ่งลูกหมูที่มีกรด ไขมันโอเมก้า 3 สูง ซึ่งเป็นกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ กรดไขมันโอเมก้า 3 พบมากที่สุดในปลา โดยนำนิวเคลียสของเซลล์ที่ผ่านการตัดแต่งใส่แทนนิวเคลียสในไข่ ของหมูตามวิธีการโคลนนิ่งที่เป็นต้นกำเนิดของแ X ลลี่ เมื่อปี 2539
- นักวิจัยญี่ปุ่นสกัดกลิ่นวานิลลาจากมูลวัวสำเร็จ นักวิจัยจากศูนย์การแพทย์ ระหว่างประเทศของรัฐบาลญี่ปุ่น ประสบความสำเร็จในการสกัดกลิ่นหอมของวานิลลาออก จากมูลวัว ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการสกัดกลิ่นวานิลลาจากเมล็ดจริงๆ มากกว่า ครึ่งหนึ่ง แต่คงไม่ใช้ใส่ในอาหาร เพราะคงยากที่ผู้บริโภคจะยอมรับได้

9.เฟซออฟ : จากความฝันสู่ความจริง
หลังจากที่แพทย์ฝรั่งเศสประสบความสำเร็จในการปลูกถ่ายใบหน้าแบบเฟซออฟ เมื่อ ปีที่แล้ว การแพทย์จีนก็ประกาศความสำเร็จการผ่าตัดใบหน้ารายที่ 2 ของโลก โดยทำ ศัลยกรรมใบหน้าให้กับนายหลี่ กั๊วะซิง นายพรานที่ถูกหมีตะปบจนใบหน้าหายไปกว่า ครึ่ง ขณะที่แพทย์อินโดนีเซียก็ไม่ยอมน้อยหน้า ทำการผ่าตัดเฟซออฟให้หญิงสาว วัย 22 ปี คนหนึ่งที่ถูกสาดน้ำกรดใส่หน้า

---------------------------------------------------------------------------

อ้างอิงจาก http://www.dek-d.com/board/view.php?id=752367

สัปดาห์ที่ 4 เต้นแรงไป ระวังสมองกระเทือน!!!


นักวิจัยชาวออสเตรเลียเผย ดนตรีร็อคแบบเฮฟวีเมทัลอมตะของ Led Zeppelin อย่าง 'Dazed and Confused' อาจทำให้ผู้เต้นถึงกับต้องล้มหมอนนอนเสื่อได้ เนื่องจากเกิดการกระทบกระเทือนของสมอง โดยเฉพาะพวกเต้นเขย่าศีรษะแบบเอาเป็นเอาตายโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย นิวเซาท์เวลส์ รายงานในวารสาร British Medical Journal ฉบับเดือนธันวาคมว่า การเต้นเขย่าศีรษะโดยเฉพาะพวกเพลงจังหวะเฮฟวีเมทัลอาจทำให้สมองและคอได้รับบาดเจ็บ และอาจเสี่ยงบาดเจ็บมากขึ้นเมื่อจังหวะและมุมในการเต้นมีมากขึ้น
แอนดริว แมคอินทอช กล่าวว่า รู้สึกกังวลอย่างยิ่งเมื่อได้ยินข่าวนี้ หลังเลิกคอนเสิร์ตหากลองสังเกตดู คนเต้นมักจะมีอาการมึนงง สับสน แสดงให้เห็นว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องศึกษากันต่อไป

บีตต่อนาที
แมคอินทอชและดีแคลน แพททอน ได้ลองศึกษาพฤติกรรมของผู้เข้าร่วมคอนเสิร์ตเฮฟวีเมทัลซึ่งเป็นตัวแทนของการเต้นแบบเขย่าศีรษะ เพื่อช่วยให้เข้าใจถึงความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นได้
โดยคู่ได้สอบถามนักดนตรีถึงเพลงฮิต 10 เพลงเพิ่มด้วย พบว่า เพลงเหล่านี้มีจังหวะอยู่ที่ 146 บีต ต่อนาที และที่จังหวะนี้เองที่คาดว่าจะทำให้ผู้เต้นรู้สึกมึนงงและปวดหัวได้หากคอและศีรษะเคลื่อนที่ไปมากกว่า 75 องศา
ส่วนเพลงที่จัดไว้เพื่อเป็นกลุ่มควบคุม เปรียบเทียบกับเพลงที่ทำให้เต้นแบบเขย่าศีรษะ ซึ่งเป็นเพลงที่ตรงข้ามกับเฮฟวีเมทัลที่กล่าวไปแล้ว เช่น เพลงของ Whitney Houston ชื่อ 'I Will Always Love You'

อันตรายที่พบ
จากการศึกษาวงเฮฟวีเมทัลหลายวงอย่าง Motley Crue, Ozzy Osbourne และ Motorhead เพื่อดูว่าการเต้นแบบเขย่าศีรษะมีผลต่อร่างกายอย่างไรบ้าง พบว่าการเต้นแบบนี้มีผลอย่างมากต่อสุขภาพและอาจกระทบกระเทือนถึงงานที่ทำด้วย คือ ผู้เต้นอาจมีความผิดปกติด้านการได้ยินและอาจมีปัญหากับลูกค้าที่ขี้ตกใจ
ศาสตราจารย์แมคอินทอช ผู้ศึกษาด้านกลศาสตร์การได้รับบาดเจ็บของสมอง กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลแบบชั่วคราว แม้การได้รับบาดเจ็บของสมองเพียงเล็กน้อยนั้นยังไม่เป็นที่เข้าใจมากนักแต่คาดว่าไม่น่าจะมีผลร้ายแรงไปกว่าอาการปวดหัวหรืออาการมึนงงที่เกิดจากการเต้น

ที่มา: http://www.abc.net.au/science/articles/2008/12/18/2449866.htm?site=science&topic=latestHead-banging hammers the brain
---------------------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิงจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/152037

สัปดาห์ที่ 3 ข่าวเก่า ๆ เอามาเล่าใหม่

5 สุดยอดข่าววิทยาศาสตร์ปี 2550
เมื่อวันต้อนรับปีใหม่ 2551 มาถึง ก็เป็นเวลาของการคัดเลือกและจัดอันดับ 10 ยอดข่าววิทยาศาสตร์ ในรอบปี 2550 ที่เพิ่งจะผ่านไป โดยเป็นการคัดเลือกและจัดอันดับข่าววิทยาศาสตร์ในรอบปีของผู้เขียนที่ทำต่อเนื่องกันมาหลายปี สำหรับปี 2550 เป็นอีกปีหนึ่งที่มีข่าวความเคลื่อนไหวเชิงวิทยาศาสตร์ระดับโลกหลายข่าว ทั้งเรื่องราวบนโลก ในอวกาศ และเกี่ยวกับตัวตนของมนุษย์เองโดยตรง ส่วนในประเทศไทยก็มีความเคลื่อนไหวทางด้านวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจค่อนข้างมากทีเดียว แต่เมื่อต้องคัดเลือกให้เหลือเพียง 10 ยอดข่าววิทยาศาสตร์ทั้งระดับโลกและในประเทศไทย ผู้เขียนก็คัดเลือกข่าวเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน ซึ่งก็เป็น 1 ใน 10 ยอดข่าววิทยาศาสตร์ของปีที่แล้วด้วย และในรอบปี 2550 ผู้เขียนยกให้เป็นข่าวอันดับ 1 และสำหรับข่าววิทยาศาสตร์ในประเทศไทย ผู้เขียนคัดเลือกผลงานยอดเยี่ยมของเยาวชนไทย ในการแข่งขันดาราศาสตร์โอลิมปิกครั้งแรกที่จัดในประเทศไทย มาเป็น 1 ใน 10 ยอดข่าววิทยาศาสตร์แห่งปี 2550 ด้วย




1.โลกร้อนกับรางวัลโนเบลภาวะโลกร้อน ติดอันดับ 10 ยอดข่าววิทยาศาสตร์ต่อเนื่องกันมาหลายปี และเมื่อสิ้นสุดปี 2550 ก็มาติดอันดับอีก คือ รายงานภาวะโลกร้อนปารีส (Paris Global Warming Report) เมื่อต้นเดือน ก.พ. โดย “คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” (Intergovernmental Panel on Climate Change) หรือ ไอพีซีซี (IPCC) มีบทสรุปชัดเจนประกาศเป็นครั้งแรกว่า ภาวะโลกร้อน เกิดจากฝีมือมนุษย์ 90% ก่อให้เกิดกระแสความตระหนัก และการตื่นตัวถึงภัยจากภาวะโลกร้อนที่ชัดเจนยิ่งขึ้นไปทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยด้วยปลายปี 2550 ไอพีซีซี ซึ่งเป็นหน่วยงานพิเศษขององค์การสหประชาชาติ มีสำนักงานดำเนินงานอยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และ อัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ผู้นำคนสำคัญระดับโลกที่ทำงานอย่างต่อเนื่องมาหลายปี เพื่อสร้างความตระหนักถึงภัยจากภาวะโลกร้อน เจ้าของรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์สารคดีเรื่อง An Inconvenient Truth ประจำปี 2550 ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมกัน สำหรับผลงานเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน โดย ไอพีซีซี และ อัล กอร์ แบ่งเงินรางวัลโนเบลฝ่ายละครึ่ง




2.ที่สุดแห่งซูเปอร์โนวาเดือน พ.ค. 2550 คณะนักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่เบิร์กลีย์ และมหาวิทยาลัยเทกซัส ในสหรัฐอเมริกา ตีพิมพ์รายงานในวารสาร The Astronomical Journal การศึกษา ซูเปอร์โนวามีขนาดใหญ่และสว่างมากที่สุด ที่เคยมีบันทึกกันมาตั้งแต่อดีตกาลถึงปัจจุบัน ซูเปอร์โนวาชื่อ SN 2006 gy มีขนาดประมาณ 100-200 เท่าของขนาดดวงอาทิตย์ อยู่ในกาแล็กซีห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 240 ล้านปีแสง เริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่ปี 2549 และปรากฏตัวสว่างขึ้นอย่างรวดเร็วดังเช่นซูเปอร์โนวาทั่วไป แต่ซูเปอร์โนวาดวงนี้สว่างขึ้นมากและปรากฏให้เห็นได้ยาวนานกว่าซูเปอร์โนวาทั้งหมดที่มนุษย์เคยเห็นมาก่อน ทำให้มันเป็นซูเปอร์โนวาขนาดใหญ่มาก ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับดวงดาวในกาแล็กซีทางช้างเผือก ที่มีมากกว่า 4 แสนล้านดวงแล้ว ก็มีดวงดาวที่มีขนาดและมวลมากเท่า SN 2006 gy เพียง 10 กว่าดวงเท่านั้นนักดาราศาสตร์อธิบายว่า ความสว่างที่เพิ่มมากขึ้นอย่างมหาศาลของ ซูเปอร์โนวา SN 2006 gy เกิดจากการยุบถล่มของดวงดาวไปเป็นหลุมดำ และทำให้นักดาราศาสตร์ต้องจับตาดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ในกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา ชื่อ เอตา คาริเน (Eta Carinae) เป็นดาวยักษ์สีน้ำเงิน มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ของเรากว่า 100 เท่า อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 8 พันปีแสง และอาจจะระเบิดเป็นซูเปอร์โนวา ปรากฏให้เห็นอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดต่อสายตามนุษย์โลกในอนาคตไม่ไกลนัก




3.ยีน 13: ยีนนำโชคคนตาบอดเดือน มิ.ย. 2550 คณะนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยลีดส์ ประเทศอังกฤษ ตีพิมพ์รายงานการค้นพบยีนตัวใหม่ เรียกว่า แอลซีเอ 5 (LCA 5) มีศักยภาพสามารถจะช่วยแก้ปัญหาคนตาบอดตั้งแต่เกิด หรือหลังการเกิดไม่นาน จากโรคถ่ายทอดทางพันธุกรรม เรียกว่า แอลซีเอ (LCA หรือ Leber’s Congental Armaurosis) มีสาเหตุจากความผิดปกติของยีนผลิตสารเรียกว่า เลเบอร์ซิลิน (Lebercilin) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์รับแสงของจอรับภาพตาหรือเรตินายีนแอลซีเอ 5 เป็นยีนเกี่ยวกับโรคแอลซีเอ ทำให้คนตาบอดตัวที่ 13 ซึ่งโดยทั่วไปเลข 13 ถูกมองเป็นเลขอับโชค เป็นเลขที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่สำหรับยีนแอลซีเอ 5 กลายเป็นยีนแอลซีเอตัวที่ 13 ที่กำลังเป็นยีนนำโชค เปลี่ยนเลข 13 ให้เป็น “เลขนำโชค” หรือ “Lucky 13” สำหรับคนตาบอด เพราะผลการทดลองทำยีนบำบัดแก่คนตาพิการจากโรคแอลซีเอ ได้ผลออกมามีแนวโน้มที่ดี


4.ฝรั่งเศสเปิดแฟ้มลับยูเอฟโอปลายเดือน มี.ค. 2550 ฝรั่งเศส สร้างเซอร์ไพรส์เป็นประเทศแรกในโลก ที่เปิดแฟ้ม (เคย) ลับ รายงานเกี่ยวกับสิ่งบินลึกลับยูเอฟโอ (UFO หรือ Unidentified Flying Object) อย่างเป็นทางการ เป็นข่าวฮือฮาดังไปทั่วโลก จนกระทั่งเว็บไซต์ลงเผยแพร่รายงานเกี่ยวกับยูเอฟโอในรอบครึ่งศตวรรษของฝรั่งเศส ต้องล่มภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการเปิดตัว เพราะมีคนแห่กันเข้าไปดูมากเกินไป “องค์การอวกาศแห่งชาติฝรั่งเศส” หรือ ซีเอ็นอีเอส (CNES) ผู้รับผิดชอบรายงานเกี่ยวกับยูเอฟโออย่างเป็นทางการของฝรั่งเศส เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับยูเอฟโอ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมดกว่า 1.6 พันรายงาน เป็นรายงานตั้งแต่ปี 2497 มีความสมบูรณ์ในรายละเอียดเกี่ยวกับการพบเห็นยูเอฟโอในรูปแบบต่างๆ รวมทั้ง วัน เวลา สถานที่ ภาพถ่าย ภาพวาด เสียง และคลิปวิดีโอ ผู้อำนวยการองค์การอวกาศแห่งชาติฝรั่งเศส แถลงข่าวการเปิดเผยแฟ้ม (เคย) ลับเกี่ยวกับยูเอฟโอของฝรั่งเศสว่า เพื่อให้ประชาคมวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้ให้ความสำคัญอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ สำหรับรายงานยูเอฟโอที่ยังไม่มีคำอธิบายรายงานยูเอฟโอของฝรั่งเศสกว่า 1.6 พันรายงาน มีอยู่เกือบ 25% ถูกจัดอยู่ในรายงาน “กลุ่ม D” ซึ่งมีความหมายว่า เป็นรายงานน่าสนใจ ผู้รายงานน่าเชื่อถือ แต่ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่า คืออะไร โดยภาพรวม รายงานเกี่ยวกับยูเอฟโอของฝรั่งเศส มีอัตราส่วนของรายงานน่าสนใจ และสมควรจะได้รับการเจาะศึกษาต่อไปอย่างเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่าของประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สรุปรายงานเกี่ยวกับยูเอฟโอจาก “โครงการบลูบุ๊ก” (Blue Book Project) ของสหรัฐอเมริกา



5.ยานอวกาศจีนลำแรกสำรวจดวงจันทร์เดือน ต.ค. 2550 ยานอวกาศฉางเอ้อ 1 (Chang’e 1) ของประเทศจีน เดินทางจากโลกไปสู่ดวงจันทร์ เป็นยานอวกาศลำแรกของประเทศจีนที่ถูกส่งไปสำรวจดวงจันทร์ยานฉางเอ้อ 1 ตั้งตามชื่อเจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์ของจีน เดินทางออกจากโลกวันที่ 24 ต.ค. ถึงดวงจันทร์วันที่ 5 พ.ย. เข้าสู่วิถีโคจรรอบดวงจันทร์ที่ระดับความสูงประมาณ 200 กิโลเมตรเหนือพื้นผิวดวงจันทร์ มีภารกิจสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์อย่างละเอียดเป็นเวลาประมาณ 1 ปี เป็นส่วนหนึ่งของโครงการส่งมนุษย์ไปสู่ดวงจันทร์ของจีนในอนาคต ความมุ่งมั่นของประเทศจีนในการสำรวจดวงจันทร์ ทำให้ผู้บริหารองค์การนาซา (NASA) ของสหรัฐอเมริกา ออกมาแสดงความเห็นว่า จีนอาจจะชนะสหรัฐอเมริกาในการส่งมนุษย์ไปสู่ดวงจันทร์ครั้งใหม่ของสหรัฐ หลังจากที่สหรัฐเคยประสบความสำเร็จส่งมนุษย์ไปลงสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ได้สำเร็จเป็นประเทศแรก (และประเทศเดียวถึงปัจจุบัน) กับโครงการอะพอลโลสู่ดวงจันทร์ เมื่อปี 2512 (กับยานอะพอลโล 9)
------------------------------------------------------------------------------

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่ 2 โลกร้อน ใคร ๆ ก้อรุ้

80 วิธีหยุดโลกร้อนไม่ว่าใครก็สามารถช่วยลดความร้อนให้กับโลกได้ตั้ง 80 ช่องทาง...

1.ลดการใช้พลังงานในบ้านด้วยการปิดทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เมื่อไม่ได้ใช้งาน จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้นับ 1 พันปอนด์ต่อปี

2.ลดการสูญเสียพลังงานในโหมดสแตนด์บาย เครื่องเสียงระบบไฮไฟ โทรทัศน์ เครื่องบันทึกวิดีโอ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและอุปกรณ์พ่วงต่างๆ ที่ติดมาด้วยการดึงปลั๊กออก หรือใช้ปลั๊กเสียบพ่วงที่ตัดไฟด้วยตัวเอง

3.เปลี่ยนหลอดไฟ เป็นหลอดไฟประหยัดพลังงานแบบขดที่เรียกว่า Compact Fluorescent Lightbulb (CFL) เพราะจะกินไฟเพียง 1 ใน 4 ของหลอดไฟเดิม และมีอายุการใช้งานได้นานกว่าหลายปีมาก

4.เปลี่ยนไปใช้ไฟแบบหลอด LED จะได้ไฟที่สว่างกว่าและประหยัดกว่าหลอดปกติ 40% สามารถหาซื้อหลอดไฟ LED ที่ใช้สำหรับโคมไฟตั้งโต๊ะและตั้งพื้นได้ด้วย จะเหมาะกับการใช้งานที่ต้องการให้มีแสงสว่างส่องทาง เช่น ริมถนนหน้าบ้าน การเปลี่ยนหลอดไฟจากหลอดไส้จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 150 ปอนด์ต่อปี

5.ช่วยกันออกความเห็นหรือรณรงค์ให้รัฐบาลพิจารณาข้อดีข้อเสียของการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนกับภาคการผลิต ตามอัตราการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิลรูปแบบต่างๆ หรือการใช้ก๊าซโซลีน เป็นรูปแบบการใช้ภาษีทางตรงที่เชื่อว่า หากโรงงานต้องจ่ายค่าภาษีแพงขึ้นก็จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในกระบวนการผลิตลง ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการปล่อย CO2 ลงได้ประมาณ 5%

6.ขับรถยนต์ส่วนตัวให้น้อยลง ด้วยการปั่นจักรยาน ใช้รถโดยสารประจำทาง หรือใช้การเดินแทนเมื่อต้องไปทำกิจกรรมหรือธุระใกล้ๆ บ้าน เพราะการขับรถยนต์น้อยลง หมายถึงการใช้น้ำมันลดลง และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย เพราะน้ำมันทุกๆ แกลลอนที่ประหยัดได้ จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 20 ปอนด์7.ไปร่วมกันประหยัดน้ำมันแบบ Car Pool นัดเพื่อนร่วมงานที่มีบ้านอาศัยใกล้ๆ นั่งรถยนต์ไปทำงานด้วยกัน ช่วยประหยัดน้ำมัน และยังเป็นการลดจำนวนรถติดบนถนน ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทางอ้อมด้วย

8.จัดเส้นทางรถรับส่งพนักงาน ถ้าในหน่วยงานมีพนักงานจำนวนมากอาศัยอยู่ในเส้นทางใกล้ๆ กัน ควรมีสวัสดิการจัดหารถรับส่งพนักงานตามเส้นทางสำคัญๆ เป็น Car Pool ระดับองค์กร

9.เปิดหน้าต่างรับลมแทนเปิดเครื่องปรับอากาศ ลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้ไฟฟ้าเพื่อเปิดเครื่องปรับอากาศ

10.มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น ป้ายฉลากเขียว ประหยัดไฟเบอร์ 5 มาตรฐานผลิตภัณฑ์คุณภาพสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพราะการจะได้ใบรับรองนั้น จะต้องมีการประเมินสินค้าตั้งแต่เริ่มต้นหาวัตถุดิบ

11.ไปตลาดสดแทนซูเปอร์มาร์เก็ตบ้าง ซื้อผัก ผลไม้ หมู ไก่ ปลา ในตลาดสดใกล้บ้าน แทนการช็อปปิ้งในซูเปอร์มาร์เก็ตบ้าง ที่อาหารสดทุกอย่างมีการ***บห่อด้วยพลาสติกและโฟม ทำให้เกิดขยะจำนวนมาก

12.เลือกซื้อเลือกใช้ เมื่อต้องซื้อรถยนต์ใช้ในบ้าน หรือรถยนต์ประจำสำนักงานก็หันมาเลือกซื้อรถประหยัดพลังงาน รวมทั้งเลือกอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟ ทั้งในบ้านและอาคารสำนักงาน

13.เลือกซื้อรถยนต์ที่มีขนาดตามความจำเป็น โดยพิจารณาจากขนาดครอบครัวและประโยชน์การใช้งาน รวมทั้งพิจารณารุ่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เพื่อเปรียบเทียบราคา

14.ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเลือกรถโฟว์วีลขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ เพราะกินน้ำมันมาก และตะแกรงขนสัมภาระบนหลังคารถก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะเป็นการเพิ่มน้ำหนักรถให้เปลืองน้ำมัน

15.ขับรถอย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะทางไกลการขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะช่วยลดการใช้น้ำมันลงได้ 20% หรือคิดเป็นปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดได้ 1 ตันต่อรถยนต์แต่ละคันที่ใช้งานราว 3 หมื่นกิโลเมตรต่อปี

16.ขับรถเที่ยวไปลดคาร์บอนไดออกไซด์ไปพร้อมกัน เพราะมีบริษัทเช่ารถใหญ่ๆ 2-3 รายมีรถรุ่นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ใช้เอทานอล หรือน้ำมันเชื้อเพลิงทางเลือกอื่นๆ ด้วย ลองสอบถามบริษัทรถเช่าเมื่อเดินทางไปถึง

17.เลือกใช้บริการโรงแรมที่มีสัญลักษณ์สิ่งแวดล้อม เช่น มีมาตรการประหยัดน้ำ ประหยัดพลังงาน และมีระบบจัดการของเสีย มองหาป้ายสัญลักษณ์ เช่น โรงแรมใบไม้สีเขียว มาตรฐานผลิตภัณฑ์คุณภาพ

18 เช็กลมยาง การขับรถที่ยางลมมีน้อยอาจทำให้เปลืองน้ำมันได้ถึง 3% จากภาวะปกติ

19.เปลี่ยนมาใช้พลังงานชีวภาพ เช่น ไบโอดีเซล เอทานอล ให้มากขึ้น

20 โละทิ้งตู้เย็นรุ่นเก่า ตู้เย็นที่ผลิตเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เพราะใช้ไฟฟ้ามากเป็น 2 เท่าของตู้เย็นสมัยใหม่ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งช่วยประหยัดค่าไฟลงได้มาก และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 100 กิโลกรัมต่อปี

21.ยืดอายุตู้เย็นด้วยการใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงานให้ตู้เย็นด้วยการใช้อย่างฉลาด ไม่นำอาหารร้อนเข้าตู้เย็น หลีกเลี่ยงการนำถุงพลาสติกใส่ของในตู้เย็น เพราะจะทำให้ตู้เย็นจ่ายความเย็นได้ไม่ทั่วถึงอาหาร ควรย้ายตู้เย็นออกจากห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ ละลายน้ำแข็งที่เกาะในตู้เย็นเป็นประจำ เพราะตู้เย็นจะกินไฟมากขึ้นเมื่อมีน้ำแข็งเกาะ และทำความสะอาดตู้เย็นทุกสัปดาห์

22.ริเริ่มใช้พลังงานทางเลือกในอาคารสำนักงาน เช่น ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ในการผลิตกระแสไฟฟ้าเฉพาะจุด

23.ใช้แสงแดดให้เป็นประโยชน์ ในการตากเสื้อผ้าที่ซักแล้วให้แห้ง ไม่ควรใช้เครื่องปั่นผ้าแห้งหากไม่จำเป็น เพื่อประหยัดการใช้ไฟฟ้า

24.ใช้น้ำประปาอย่างประหยัด เพราะระบบการผลิตน้ำประปาของเทศบาลต่างๆ ต้องใช้พลังงานจำนวนมากในการทำให้น้ำสะอาด และดำเนินการจัดส่งไปยังอาคารบ้านเรือน

25.ติดตั้งฝักบัวอาบน้ำที่ปรับความแรงน้ำต่ำๆ ได้ เพื่อจะได้เปลืองน้ำอุ่นน้อยๆ (เหมาะทั้งในบ้านและโรงแรม)

26.ติดตั้งเครื่องตัดกระแสไฟฟ้าอัตโนมัติ ช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าและลดปริมาณการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นจากโรงผลิตกระแสไฟฟ้า

27.สร้างนโยบาย 3Rs- Reduce, Reuse, Recycle ทั้งในบ้านและอาคารสำนักงาน เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างเต็มที่ เป็นการลดพลังงานในการกำจัดขยะ ลดมลพิษและลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการกำจัด

28.ป้องกันการปล่อยก๊าซมีเทนสู่บรรยากาศ ด้วยการแยกขยะอินทรีย์ เช่น เศษผัก เศษอาหาร ออกจากขยะอื่นๆ ที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ 29.ทาหลังคาบ้านด้วยสีอ่อน เพื่อช่วยลดการดูดซับความร้อน

30.นำแสงธรรมชาติมาใช้ในอาคารบ้านเรือน โดยใช้การออกแบบบ้าน และตำแหน่งของช่องแสงเป็นปัจจัย ซึ่งจะช่วยลดจำนวนหลอดไฟและพลังงานไฟฟ้าที่ต้องใช้

31.ปลูกต้นไม้ในสวนหน้าบ้าน ต้นไม้ 1 ต้น จะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ตัน ตลอดอายุของมัน32.ปลูกไผ่แทนรั้ว ต้นไผ่เติบโตเร็ว เป็นรั้วธรรมชาติที่สวยงาม และยังดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดี

33.ใช้ร่มเงาจากต้นไม้ช่วยลดความร้อนในตัวอาคารสำนักงานหรือบ้านพักอาศัย ทำให้สามารถลดความต้องการใช้เครื่องปรับอากาศ เป็นการลดการใช้ไฟฟ้า

34.ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีในสวนไม้ประดับที่บ้าน แต่ขอให้เลือกใช้ปุ๋ยหมักจากธรรมชาติแทน

35.ลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติก เพราะถุงพลาสติกไม่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และการเผากำจัดในเตาเผาขยะอย่างถูกวิธีต้องใช้พลังงานจำนวนมาก ซึ่งทำให้มีก๊าซเรือนกระจกเพิ่มในบรรยากาศ

36.เลือกซื้อสินค้าที่มี***บห่อน้อยๆ ***บห่อหลายชั้นหมายถึงการเพิ่มขยะอีกหลายชิ้นที่จะต้องนำไปกำจัด เป็นการเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศโดยไม่จำเป็น

37.เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ซื้อเติมใหม่ได้ เพื่อเป็นการลดขยะจาก***บห่อของบรรจุภัณฑ์

38.ใช้กระดาษทั้ง 2 หน้า เพราะกระบวนการผลิตกระดาษแทบทุกขั้นตอนใช้พลังงานจากน้ำมันและไฟฟ้าจำนวนมาก

39.เลือกใช้กระดาษรีไซเคิล กระดาษรีไซเคิลช่วยลดขั้นตอนหลายขั้นตอนในกระบวนการผลิตกระดาษ

40.ตั้งเป้าลดการผลิตขยะของตัวเองให้ได้ 1 ใน 4 ส่วน หรือมากกว่า เพื่อช่วยประหยัดทรัพยากรและลดก๊าซเรือนกระจกได้อีกจำนวนมาก เมื่อลองคูณ 365 วัน กับจำนวนปีที่เหลือก่อนเกษียณ

41.สนับสนุนสินค้าและผลิตผลจากเกษตรกรในท้องถิ่นใกล้บ้าน ช่วยให้เกษตรกรในพื้นที่ไม่ต้องขนส่งผลิตผลให้พ่อค้าคนกลางนำไปขายในพื้นที่ไกลๆ

42.บริโภคเนื้อวัวให้น้อยลง ทานผัก (ปลอดสารพิษ) ให้มากขึ้น ฟาร์มเลี้ยงวัว คือ แหล่งหลักในการปลดปล่อยก๊าซมีเทนสู่บรรยากาศ หันมารับประทานผักให้มากขึ้น ทานเนื้อวัวให้น้อยลง

43.ทานสเต๊กและแฮมเบอร์เกอร์ในร้านใหญ่ๆ ให้น้อยลง เพราะอุตสาหกรรมเนื้อระดับนานาชาติ ผลิตก๊าซเรือนกระจกถึง 18% สาเหตุหลักก็คือไนตรัสออกไซด์จากมูลวัวและมีเทน ซึ่งถูกปลดปล่อยออกมาจากลักษณะทางธรรมชาติของวัวที่ย่อยอาหารได้ช้า (มีกระเพาะอาหาร 4 ตอน) มีเทนเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกได้มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 23 เท่า ในขณะที่ไนตรัสออกไซด์ก่อผลได้มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ 296 เท่า

44.ชักชวนคนอื่นๆ รอบข้างให้ช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมและลดปัญหาภาวะโลกร้อน ให้ความรู้ความเข้าใจและชักชวนคนใกล้ตัว รวมทั้งเพื่อนบ้านรอบๆ ตัวคุณ เพื่อขยายเครือข่ายผู้ร่วมหยุดโลกร้อนให้กว้างขวางขึ้น

45.ร่วมกิจกรรมรณรงค์สิ่งแวดล้อมในชุมชน แล้วลองเสนอกิจกรรมรณรงค์ให้ความรู้และกระตุ้นให้เกิดการร่วมมือ เพื่อลงมือทำกิจกรรมสิ่งแวดล้อมที่ต่อเนื่อง และส่งผลให้คนในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

46.เลือกโหวตแต่พรรคการเมืองที่มีนโยบายสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน จริงใจ และตั้งใจทำจริง เพราะนักการเมืองคือคนที่เราส่งไปเป็นตัวแทนทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร โปรดใช้ประโยชน์จากพวกเขาตามสิทธิที่คุณมี ด้วยการเลือกนักการเมืองจากพรรคการเมืองที่มีนโยบายชัดเจนเรื่องสิ่งแวดล้อมและการลดปัญหาโลกร้อน 47.ซื้อให้น้อยลง แบ่งปันให้มากขึ้น อยู่อย่างพอเพียง เกษตรกร ชาวสวน ชาวไร่ ชาวนา ก็สามารถช่วยได้ด้วยการ

48.ลดการเผาป่าหญ้า ไม้ริมทุ่ง และต้นไม้ชายป่า เพื่อกำจัดวัชพืชและเปิดพื้นที่ทำการเกษตร เพราะเป็นการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศจำนวนมาก นอกจากนั้นการตัดและเผาทำลายป่ายังเป็นการทำลายแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สำคัญ

49.ปลูกพืชผักให้หลากหลายและปลูกตามฤดูกาลในท้องถิ่น เป็นการลดการปลูกพืชผักนอกฤดูกาลที่ต้องใช้พลังงานเพื่อถนอมอาหาร และผ่านกระบวนการบรรจุเป็นอาหารกระป๋อง

50.รวมกลุ่มสร้างตลาดผู้บริโภค-ผู้ผลิตโดยตรงในท้องถิ่น เพื่อลดกระบวนการขนส่งผ่านพ่อค้าคนกลาง ที่ต้องใช้พลังงานและน้ำมันในการคมนาคมขนส่งพืชผักผลไม้ไปยังตลาด

51.ลดการใช้สารเคมีในการเกษตร นอกจากจะเป็นการลดปัญหาการปลดปล่อยไนตรัสออกไซด์สู่บรรยากาศโลกแล้ว ในระยะยาวยังเป็นการลดต้นทุนการผลิต และทำให้คุณภาพชีวิตของเกษตรกรดีขึ้น โปรดปรึกษาและเรียนรู้จากกลุ่มเกษตรกรทางเลือกที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในประเทศไทย สถาปนิกและนักออกแบบ

52.ออกแบบพิมพ์เขียวบ้านพักอาศัยที่สามารถช่วย “หยุดโลกร้อน” การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก โดยคิดถึงการติดตั้งระบบการใช้พลังงานที่ง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสูงๆ แต่ใช้งานได้จริง ลองคิดถึงวิธีการที่คนรุ่นปู่ย่าใช้ในการสร้างบ้านสมัยก่อน ซึ่งมีการพึ่งพาทิศทางลม การดูทิศทางการขึ้น-ตกของดวงอาทิตย์ อาจช่วยลดค่าใช้จ่ายเรื่องพลังงานในบ้านได้ถึง 40%

53.ช่วยออกแบบสร้างบ้านหลังเล็ก บ้านหลังเล็กใช้พลังงานน้อยกว่าบ้านหลังใหญ่ และใช้วัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างน้อยกว่า สื่อมวลชน นักสื่อสารและโฆษณา54.ใช้ความเชี่ยวชาญในวิชาชีพเพื่อให้ความรู้ และสร้างความตระหนักกับสาธารณชนเกี่ยวกับปัญหาภาวะโลกร้อน และทำให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นของท้องถิ่น

55.สร้างความสนใจกับสาธารณชน เพื่อทำให้ประเด็นโลกร้อนอยู่ในความสนใจของสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง

56.ช่วยกันเล่าความจริงเรื่องโลกร้อน โปรดช่วยกันสื่อสารให้ประชาชนและรัฐบาลเข้าใจสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น

57.เป็นผู้นำกระแสของสังคมเรื่องชีวิตที่พอเพียง ต้นตอหนึ่งของปัญหาโลกร้อนก็คือกระแสการบริโภคของผู้คน ทำให้เกิดการบริโภคทรัพยากรจำนวนมหาศาล ชีวิตที่ยึดหลักของความพอเพียง โดยมีฐานของความรู้และคุณธรรมตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จึงน่าจะเป็นหนทางป้องกันและลดปัญหาโลกร้อนที่สังคมโลกกำลังเผชิญหน้าอยู่

58.ใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อร่วมรับผิดชอบสังคม ออกแบบงานโฆษณาที่สอดแทรกประเด็นปัญหาของภาวะโลกร้อนอย่างมีรสนิยม เรื่องที่เป็นจริงและไม่โกหกครู อาจารย์

59.สอนเด็กๆ ในขั้นเรียน เกี่ยวกับปัญหาโลกร้อน

60.ใช้เทคนิคการเรียนรู้หลากหลายจากกิจกรรม ดีกว่าสอนโดยให้เด็กฟังครูพูดและท่องจำอย่างเดียวนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ และวิศวกร

61ค้นคว้าวิจัยหาแนวทางและเทคโนโลยีใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

62.ศึกษาและทำวิจัยในระดับพื้นที่ เพื่อให้มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบของภาวะโลกร้อนต่อพื้นที่เสี่ยงของประเทศไทย

63.ประสานและทำงานร่วมกับนักสื่อสารและโฆษณา เพื่อแปลงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ไปสู่การรับรู้และเข้าใจของประชาชนในสังคมวงกว้างนักธุรกิจ อุตสาหกรรมและบริการ

64.นำก๊าซมีเทนจากกองขยะมาใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ด้วยการลงทุนพัฒนาให้เป็นพลังงานทดแทนที่มีประสิทธิภาพ แต่มีต้นทุนต่ำ

65.สนับสนุนนักวิจัยในองค์กร ค้นคว้าผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีประสิทธิภาพในการลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล

66.เป็นผู้นำของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม หากยังไม่มีใครเริ่มต้นโครงการที่ช่วยหยุดปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง ก็จงเป็นผู้นำเสียเอง

67.สร้างแบรนด์องค์กรที่เน้นการดูแลและใส่ใจโลก ไม่ใช่แค่การสร้างภาพลักษณ์ภายนอก แต่เป็นการสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความรับผิดชอบที่มาจากภายในองค์กรนักการเมือง ผู้ว่าราชการฯ และรัฐบาล

68.วางแผนการจัดหาพลังงานในอนาคต รัฐจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ทางเลือกเพื่อมุ่งจัดการแก้ไขปัญหาพลังงานและสิ่งแวดล้อม ที่มองไปข้างหน้าอย่างน้อยที่สุด 50 ปี

69.สนับสนุนให้มีการพัฒนาการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งการสนับสนุนงบประมาณในการวิจัย และการพัฒนาระบบให้มีต้นทุนต่ำและคุ้มค่าในการใช้งาน

70.สนับสนุนกลไกต่างๆ สำหรับพลังงานหมุนเวียน เพื่อสร้างแรงจูงใจในการปรับปรุงเทคโนโลยีและการลดต้นทุน

71.สนับสนุนอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชน รัฐบาลควรหามาตรการที่ชัดเจนในการสนับสนุนอุตสาหกรรมหมุนเวียน ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม เพื่อให้สามารถแข่งขันกับอุตสาหกรรมพลังงานอื่นๆ ที่ใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ที่เป็นสาเหตุหลักของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศ

72.มีนโยบายทางการเมืองที่ชัดเจนในการสนับสนุนการ “หยุดภาวะโลกร้อน” เสนอต่อประชาชน

73.สนับสนุนโครงสร้างทางกายภาพ เมื่อประชาชนตระหนักและต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น จัดการให้มีโครงข่ายทางจักรยานที่ปลอดภัยให้กับประชาชนในเมืองสามารถขับขี่จักรยาน ลดการใช้รถยนต์

74.ลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนถนนในกรุงเทพมหานครอย่างจริงจัง ด้วยการสนับสนุนระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ

75.ส่งเสริมเครือข่ายการตลาดให้กับกลุ่มเกษตรกรทางเลือก เกษตรกรจำนวนมากเป็นตัวอย่างที่ดีของการลดปัญหาโลกร้อน ด้วยการลดและเลิกการใช้สารเคมีที่ทำให้เกิดการปลดปล่อยไนตรัสออกไซด์สู่บรรยากาศโลก ซึ่งการส่งเสริมการตลาดสีเขียวด้วยการสร้างเครือข่ายการตลาดที่กระจายศูนย์ไปสู่กลุ่มจังหวัดหรือภูมิภาค จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการขนส่งผลผลิตไปยังตลาดไกลๆ อีกด้วย

76.ริเริ่มอย่างกล้าหาญกับระบบพลังงานแบบกระจายศูนย์ เพื่อลงทุนกับทางเลือกและทางรอดในระยะยาว

77.พิจารณาใช้กฎหมายการเก็บภาษีเป็นเครื่องมือในการควบคุมปริมาณก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น การเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) สำหรับภาคอุตสาหกรรม

78.เปลี่ยนแปลงระบบการจัดเก็บภาษี นั่นคือการสร้างระบบการจัดเก็บภาษีที่สามารถสะท้อนให้เห็นต้นทุนทางอ้อมจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งทำให้สังคมต้องแบกรับภาระนั้นอย่างชัดเจน เช่น ภาษีที่เรียกเก็บจากถ่านหิน ก็จะต้องรวมถึงต้นทุนในการดูแลรักษาสุขภาพที่จะต้องเพิ่มขึ้นจากปัญหามลพิษ และต้นทุนความเสียหายจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป

79.ปฏิรูปภาษีสิ่งแวดล้อม เป็นก้าวต่อไปที่ท้าทายของนักการเมืองและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างใหญ่หลวงในการปรับเปลี่ยนและสร้างจิตสำนึกใหม่ให้สังคม การเพิ่มการจัดเก็บภาษีสำหรับกิจกรรมที่มีผลทำลายสภาพแวดล้อมให้สูงขึ้นเป็นการชดเชย เช่น กิจกรรมที่มีการปล่อยคาร์บอน ภาษีจากกองขยะ ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ หลายประเทศโดยเฉพาะในยุโรปตะวันตกนำแนวคิดนี้ไปใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 ปัจจุบันนี้ประเทศใหญ่ๆ ในสหภาพยุโรปก็ร่วมดำเนินการด้วย และพบว่าการปรับเปลี่ยนระบบการจัดเก็บภาษีดังกล่าว ไม่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนระดับการจัดเก็บภาษี หากแต่มีผลกับโครงสร้างของระบบภาษีเท่านั้น

80.กำหนดทิศทางประเทศให้มุ่งสู่แนวทางของการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง ที่สามารถยืนหยัดอยู่รอดอย่างเข้มแข็งในสังคมโลก เริ่มต้นด้วยการใส่ประโยคที่ว่า ประเทศไทยจะต้องยึดหลักเศรษฐกิจตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นแกนหลักของการพัฒนาประเทศไว้ในรัฐธรรมนูญได้หรือไม่อย่ามัวแต่ให้คนดังๆ รณรงค์โดยที่เราไม่ยอมทำอะไร เพราะทุกคนมีส่วนและมีสิทธิในการช่วยเหลือโลกนี้ได้เท่าๆ กัน




-------------------------------------------------------------------------------------------------



เอกสารอ้างอิง

http://images.google.co.th/imgres?

http://www.lakkai.com/forum/data/2/0021-1.html